
โดดเด่นไม่เหมือนชาติใด เป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะที่แสดงถึงสังคม วิธีคิด และภูมิปัญญาของช่างโบราณ
คือ นิยามสั้นๆ ที่ รศ.ดร.สมพร ธุรี อาจารย์ภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สรุปอย่างได้ใจความหลังลงพื้นที่ 18 วัด ใน 7 จังหวัดแดนใต้เพื่อ ศึกษา วิเคราะห์เรื่องราวของงานพุทธศิลป์
“คำว่าพุทธศิลป์ คืองานศิลปะที่ สร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศ สนองตอบ และรับใช้พระพุทธศาสนาโดยตรง เป็นศิลปะชั้นสูง อันก่อให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสใน
พระพุทธศาสนา เพื่อการสืบทอดพุทธศาสนา ให้ยั่งยืนต่อไป และพุทธศิลป์ในภาคใต้
จากการลงพื้นทั้งหมด แบ่งได้ 3 ประเภท คือ งานจิตรกรรมไทย-ศิลปะเกี่ยวกับการเขียนภาพจิตกรรมทางพุทธศาสนาตามผนังอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญหรือตามถ้ำ งานสถาปัตยกรรมไทย-ศิลปะที่เกี่ยวกับ การก่อสร้างสถาปัตยกรรมชั้นยอดของไทย เช่น อุโบสถ วิหาร พระสถูปเจดีย์ และ งานประติมากรรมไทย ที่เป็นศิลปะการปั้น แกะสลัก เช่น เทวรูป พระพุทธรูป” รศ.ดร.สมพร อธิบาย พุทธศิลป์ภาคใต้ในเขตพื้นที่ฝั่ง ทิศตะวันออกทะเลอ่าวไทยนั้นเป็นพื้นที่ ได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้เกิดการซึมซับเอาคตินิยมแบบต่างๆ มาผสมผสานในงานพุทธศิลป์ แต่ชาว ภาคใต้ไทยพุทธยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและมีศูนย์รวมความเชื่อความศรัทธาทางพุทธศาสนา
ดังปรากฏงานพุทธศิลป์อยู่ที่วัด ที่มีรูปแบบช่างหลวงภาคกลางเป็นหลักในการแสดงออก ผสมผสานความหลากหลาย ทางความคิด สังคม ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม เรื่องราวทั้งหมดดังกล่าวในพุทธศิลป์ภาคใต้ จึงเป็นภาพสะท้อนทั้งแนวคิดและรสนิยม ในรูปแบบที่หลากหลายของศิลปวัฒนธรรมจีน ตะวันตก มลายู อิสลาม อินเดีย ชวา ลังกาวงศ์และประเภทอื่นๆ
“ถึงแม้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติและเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญในการสร้างผลงานพุทธศิลป์ แต่ก็ยอมรับอิทธิพล ศิลปวัฒนธรรมของคติความเชื่อรูปแบบของต่างชาติและท้องถิ่น จึงปรากฏเป็นภาพของความหลากหลาย การอยู่ร่วมกันอย่าง มีส่วนร่วม ความกลมกลืน ความสามัคคี ความเป็นเอกภาพ ถือเป็นรากเหง้าของสังคมชาวภาคใต้ ที่ปรากฏและสะท้อน ออกมาให้เห็นจากผลงานพุทธศิลป์
นับวันจะชำรุดไปตามเวลา ถ้าไม่ช่วยกันอนุรักษ์ สืบสานและพัฒนาให้ถูกต้อง ผลงานทั้งหมดก็คงจะสูญหาย เหลือแค่ เรื่องเล่าขานหรือเพียงแค่ตำนาน และ อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญก็คือ งานจิตรกรรมและประติมากรรมมีการบูรณะอย่าง ไม่ถูกต้อง ทำให้สูญเสียคุณค่าความงาม และอัตลักษณ์ท้องถิ่นภาคใต้” อาจารย์สมพร อธิบาย ดังเช่นผลงานการดัดแปลงรูปแบบเจดีย์จุฬามณีของศาสนาพุทธผสมผสานกับมัสยิดของศาสนาอิสลามเกิดความเป็นเอกภาพของรูปแบบการจัดองค์ประกอบศิลป์ของรูปทรง และเทคนิคเชิงช่าง อันแสดงถึงสมาธิความสมดุล และการพึ่งพาอาศัย การอยู่ร่วมกันของคนในภาคใต้ ดังปรากฏจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง
วัดโคกเคียน จ.ปัตตานี ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดชลธาราสิงเห จ.นราธิวาส ที่แสดงการนับถือตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเชื่อคติพราหมณ์ด้วยภาพการหามโลงศพ ซึ่งมีลักษณะเป็นพุ่มยอดพนมเตี้ย สัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ หรือภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร จ.สงขลา แสดงเรื่องราวที่มีความเป็นจริงตามสภาพแวดล้อม สังคม วิถีชีวิต ซึ่งปรากฏภาพสิ่งก่อสร้าง หอนาฬิกา ซุ้มประตู ภาพเรือขนส่งสินค้าชาว ตะวันตกอยู่ในเนื้อหาหลักของภาพ พุทธประวัติและทศชาดก เทคนิคเชิงช่างการสลักหินแกรนิตเป็น เจดีย์ หรือ ถะ ของศิลปะจีน โดย สั่งทำจากเมืองจีนแยกส่วน แล้วมาประกอบในไทย รูปทรง 6 เหลี่ยม 7 ชั้น สร้างในสมัย เจ้าพระยาสงขลา ซึ่งผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ 2 เป็นผู้สร้าง (มีจารึกว่าสร้างสมัยรัชกาลที่1) เห็นได้จาก วัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร จ.สงขลา
ช่างในอดีตได้สร้างความเป็นเอกภาพด้วยการให้มีศูนย์รวมทาง ความเชื่อทางศาสนา และให้ความสำคัญเท่าเทียมกันโดยมีศาสนาพุทธเป็นหลักแกนกลางในการแสดงออกของผลงานพุทธศิลป์ ด้วยการสร้างสรรค์การจัดองค์ประกอบของรูปภาพและเนื้อหาที่แสดงถึงการอยู่ร่วมกัน และสอดแทรกเรื่องราวปริศนาธรรมอันจะเป็นหลักคิดเตือนใจให้เห็นว่า
“แม้จะมีความแตกต่างหลากหลาย แต่ก็อยู่ร่วมกัน และเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันได้บนพื้นแผ่นดินไทย”