
จากเด็กบ้านแตก ตุหรัดตุเหร่เซซัดกับคืนวันอันอัตคัดของคนเร่ร่อน ขโมยอาหาร ขอข้าววัด ถูกหลอกเป็นเด็กเดินยา ก่อนฟ้าที่เคยปิดจะแง้มเปิดราวกับจะหยั่งเชิงวิสัยทัศน์ในตัวและโอกาสในการสร้างด้วยตัวเอง
ในแวดวงการศึกษา อาจจะรู้จักเขาในนามครูอาจารย์ ในแวดวงสังคม เขาคือ “ป๊อด” คนหนุ่มที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ
และล่าสุด เรื่องราวของเขาได้ถูกนำไปสร้างเป็นหนังสั้นชิงรางวัลภาพยนตร์โลก
“ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ” อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
บทแรกของนิยายชีวิต เปิดฉากไอ้ป๊อดปรอทแตกชุมพร
“มันเป็นทางรอด ทางอยู่ของเรา ทุกวันนี้ผมมองย้อนอดีตไปตลอดว่าเราผิดพลาดอะไรบ้าง มีอะไรที่เราไม่เข้าใจมาบ้าง จนตอบโจทย์เราหมด ผมเรียนรู้ชีวิตตัวเองทั้งหมดจากอดีต ด้วยเหตุและผล เลยเข้าใจหมดทุกอย่าง”
“ป๊อด” หรือ “กุลชาติ จุลเพ็ญ” เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ก็เหมือนจะเป็นเด็กทั่วๆ ไป เติบโตท่ามกลางครอบครัวที่แม้ไม่ร่ำรวยผนังหลังคาจั่วคอนกรีต หากแต่ว่าฝาไม้ขนาดฝ่ามือตะปุ่มตะป่าที่ล้อมรอบครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่สาว ก็ให้ความอบอุ่นแก่เขายามลมหนาวแทรกลอดรูบ้าน หรือไอเย็นของเม็ดฝนที่ตกชุกแทบทั้งปี
ทุกคนต่างดูแลกันและกัน และช่วยกันสรรค์สร้างปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ กระทั่งเขาอายุได้ 6 ขวบ ในวันวัยที่กำลังเรียนรู้ ครอบครัวก็มีอันร่วงลา
“พ่อแม่แยกทางกัน ทำให้ทุกคนไปคนละทิศคนละทาง เหลือผมคนเดียวที่รอว่าใครกลับมา ชีวิตอิสรเสรีอย่างที่เด็กๆ ในช่วงวัยเหล่านั้นน่าจะชื่นชอบ” ดร.หนุ่มแซมยิ้มเบาๆ ถึงชีวิตไร้เดียงสาที่ยังไม่ผ่านโลก
“ตอนนั้นอยู่กับแม่ แม่บังคับให้เราไปเรียนหนังสือ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปเรียน ตื่นได้แล้ว ไปโรงเรียนได้แล้ว ทำการบ้านหรือยัง เข้านอนหรือยัง คือทุกอย่างแม่วางกฎเกณฑ์ให้เราหมด แต่พอวันหนึ่งที่ไม่มีพ่อแม่มาคอยเคี่ยวเข็ญ พอวันหนึ่งที่พวกท่านไม่อยู่แล้ว ในวัยแค่เด็กตอนนั้น ผมรู้สึกอิสระแล้ว หลุดจากกรอบนั้นมาแล้ว
“แต่เราไม่มีอะไรกิน ปรากฏว่าชีวิตผมตอนนั้นเป็นเด็กเร่ร่อนเลย ทำงานไม่เป็น ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ ฉะนั้นจะหาอาหารใส่ท้องก็ไม่มี ก่อนหน้านั้น พ่อแม่วางรอไว้ให้เรา แต่วันนี้ไม่มีใครทำไว้ให้เรา ผมก็ต้องไปหาไปขอข้าวเขากินจากแม่ค้า ซึ่งแม่ค้าก็ให้กิน แต่ต้องทำงานแลก เราก็ไม่รู้ว่างานคืออะไร และกินข้าวต้องทำงานแลกเหรอ เราทำงานไม่เป็นเพราะพ่อแม่ไม่เคยสอนให้ทำ ก็ตอบว่าไม่ทำ ด้วยสุจริตใจ เขาก็มองว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่รู้จักบุญคุณ เขาก็เลยไล่ตะเพิดว่า ทีหลังไม่ต้องมาขอข้าวเขากินอีก ถ้าไม่ยอมทำงาน ทีนี้เมื่อขอไม่ได้ ก็ไปแย่งข้าวลูกค้ากินในร้าน แม่ค้าเห็นก็ไล่ตะเพิดไปอีก เพราะกลัวว่าเราหนักข้อขึ้น จะขโมยของในร้านเขากิน ก็เลยต้องไปขอทาน ขอเงินไปซื้อข้าวกิน”
เดินยกมือไหว้ปลกๆ ไม่ได้ก็ยืนกดดัน จนเป็นที่น่ารำคาญ ทั้ง บขส.จังหวัดชุมพร ณ ขณะนั้น
“ก็โดนไล่อีก เพราะขอบ่อย นายท่ารถเขาเลยไล่ตะเพิดออก ไปอีก ก็ต้องไปอยู่กับเพื่อนมากขึ้น ลูกแม่ค้าที่อยู่ใน บขส. ด้วยกัน ชวนกันโดดเรียน ชีวิตโดดเรียนมันก็อยู่ในสายตาคนทั่วไปไม่ได้ ก็เลยต้องไปอยู่ตามร้านเกม ไปหลบนั่งเล่นเกม ครบสูตรเด็กเกเร ปรากฏว่าคนเขาเห็น เขาก็สังเกตว่าทำไมไม่ไปโรงเรียน เขาก็มาทลายร้านเกม ผมก็เป็นตัวซวยอีก ร้านห้ามเข้าอีก”
ไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น เมื่อความหิวไม่ปรานีปราศรัย พูดคุยเจรจาด้วยเหตุและผลให้เข้าใจไม่ได้ หนทางที่พึ่งสุดท้ายจึงไม่ต่างไปจากจุดหมายสุดท้ายปลายทางของคนสิ้นลมหายใจในวาระโลกนี้ นั่นก็คือ “วัด”
“ก็ไปอยู่วัด จริงๆ ก่อนอยู่วัด ไปขโมยก่อน เพราะหิว ไปขโมยตามร้านขายของชำ เขาก็จับได้ส่งให้ตำรวจ เขาก็ถามทำไมทำอย่างนี้ พ่อแม่ไปไหน นั่นนะสิ พ่อแม่ไปไหน เขาก็ตะลึง เขาก็บอกว่าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ เดี๋ยวให้ไปอยู่ในคุก ผมก็บอกว่าดีซิครับ ผมจะได้มีข้าวกิน ตำรวจก็สตั้นไปอีก พูดเพราะเด็กจริงๆ ไม่มีความรับรู้ คือไม่รู้คุกเป็นอย่างไร แต่คิดว่ายังไงก็ดีกว่าข้างนอกตอนนี้แน่นอน ตำรวจเขาก็จับไปขังในคุก 1 วัน ชั่วโมงแรกๆ ก็สนุกดี หลังๆ ไม่สนุกแล้ว อิสระที่เรามีมันหายไป ก็ขอโทษขอโพย จะไม่เอาอีกแล้วครับ เขาก็ดัดนิสัยถึงเย็นแล้วถึงปล่อย”
ครั้นอยู่วัด บารมีร่มโพธิ์พุทธศาสนาก็มิอาจจะปรับแก้พฤติการณ์ในเวลานั้นให้หายได้เป็นปลิดทิ้ง ชีวิตยังคงดำเนินไปตามแบบแผนที่ห่างไกลจากแสงสว่างสีขาว
“เพราะเราทำอะไรไม่เป็น อย่างที่บอก ไม่ได้ตั้งใจกลับตัวเป็นคนดี ไปขอข้าววัดกิน ไปขอจริงๆ หลวงพ่อให้ช่วยทำอะไรก็ไม่ทำ เก็บขยะ กวาดลานวัด กวาดใบไม้ ไม่ทำ เราไม่เคยถูกสอนเลย หลวงพ่อก็นิ่งไม่ว่าอะไร พอวันรุ่งขึ้น ผมกับเพื่อนเดินไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อยืนถือบาตรหน้ากุฏิ ยังคิดในใจ หลวงพ่อรู้งานนะวันนี้ แต่พอเดินไปถึงท่านอีก 3 ก้าว ท่านเทข้าวให้หมากิน แล้วก็พูดกับหมาว่า หมานี่นะให้ข้าวกินยังรู้จักฟัง ไม่เหมือนคน พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักฟัง”
“ในเวลานั้นได้แต่อึ้ง” ดร.หนุ่มเผยความรู้สึกที่ไร้ซึ่งอารมณ์โกรธแค้นแต่อย่างใด เพราะด้วยเบื้องลึกจิตใจหาได้เป็นคนไม่รู้คุณคน เพียงแต่วันวัยและการเติบโตทำไม่เข้าใจในสารที่คนปกติทั่วไปสื่อสาร
“หลวงพ่อคุยกับหมา ไม่คุยกับเรา เราก็เฉยๆ เพราะเราเข้าใจว่าหมาคงหิวเหมือนที่เราหิว ทีนี้พอไม่มีข้าวกินก็เลยไปแย่งข้าวเจ้าที่กิน ตามใต้ต้นโพธิ์ต้นไทร ไปยกมือไหว้ลากิน หลังจากนั้นเดินสายไปตามบ้าน ถ้าวันไหนวันพระก็อย่างกับบุฟเฟต์
“กลางคืนเราก็ออกมาเร่ร่อน ก็บังเอิญไปเจอคน คนเขาก็เรียกไอ้หนูๆ อยากได้เงินกินขนมไหม เราไม่มีเงิน หิว ก็อยากได้ เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำหมด คือเวลานั้นไม่รู้ รู้อย่างเดียวได้เงิน ไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ ก็ตกกระได เป็นเด็กส่งยา โดนหลอกให้ทำโดยที่ไม่รู้ ก็ทำจนเพื่อนผมโดนจับ ก็เกิดความกลัว กลัวแบบไม่รู้ว่ามันคืออะไรอีกนั่นแหละ รู้แต่ว่าทำแล้วโดนจับ มันต้องเป็นสิ่งไม่ดีสักอย่างแน่ๆ ก็ระวังตัวมากขึ้น ระแวงมากขึ้น ใครจะมาใช้ให้เราทำอะไร ไม่ทำเลย”
แต่ชีวิตก็ยังไม่วายถลำลงสู่ก้นเหว ทำทุกสิ่งอย่างเพียงเพื่อตัวเองอยู่รอด ท้องอิ่ม เพื่อให้พ้นความอ้างว้างยามค่ำ หลีกหนีเสียงสงัดที่กัดเซาะแทงใจ และได้ฝันถึงอีกวันที่ทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า
“ก็เด็กจริงๆ ปฏิกิริยาเด็กไม่รู้จะทำอย่างไร เรียนรู้จากสิ่งรอบข้าง สถานการณ์ในเวลานั้น ทำอย่างไรก็ได้ให้อยู่รอดได้ในแต่ละวัน ได้กลับมาใช้เวลาแห่งความสุข ความสุขที่สุดในช่วงเด็กเร่ร่อนตอนนั้นคือ การนอนมาก เพราะการนอนมันทำให้ผมฝันเห็นทุกคนกลับมา แล้วผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ แต่พอผมตื่นมา ผมมองหลังคามุ้งแล้วผมยอมรับความจริงไม่ได้ ผมก็ต้องข่มตาหลับต่อไปอีก เพื่อที่จะอยู่กับความฝัน
“คือใครชอบนอน มาถามผมเลย ผมนอนทั้งวันทั้งคืน เพราะไม่อยากรับรู้ความจริง ผมคิดว่าการนอนทำให้หนีความจริงนี้ได้ ปรากฏว่าไม่ได้ สิ่งที่ปลุกขึ้นมาคือความหิว ผมพยายามคิดว่าเราจะชนะความหิวได้ อดทนจะชนะได้ ไม่จริง และก็ทำให้ผมรู้ว่าความหิวนี่แหละคือพลังที่แท้จริงของชีวิตที่ทำให้คนคนหนึ่ง ดิ้นรนอยู่ เราต่างดิ้นรนเพื่อเอาชนะความหิวในตัวตนของเรา
“ทำไมเรามีเงินมากมาย ทำไมยังดิ้นรนอยู่?” ดร.หนุ่มย้อนถาม “เพราะร่างกายคุณยังหิวอยู่ กินมากเท่าไหร่ สุดท้ายพรุ่งนี้ก็ยังหิวอยู่ดี เลยคิดว่าไอ้ความหิวเนี่ยคือพลังชีวิตเรา ก็คิดว่าผมโชคดีนะที่มีความหิวอยู่ มันทำให้เรามีพลังในการต่อสู้ชีวิต
“จากแต่ก่อนที่ร้องจนไม่มีน้ำตาจะไหลแล้วครับ ร้องไห้ให้กับชีวิตทุกเรื่อง แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น ร้องจนตาบวม เจ็บปวดมาทุกอย่าง แต่เหมือนเดิม สุดท้ายน้ำตามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมก็เลยมองว่าผมต้องช่วยเหลือตัวเอง ต้องลุกขึ้นมา ไม่รอโอกาสจากใคร เคยรอพ่อว่าพ่อจะกลับมา แล้วให้ผมดีขึ้น แต่ก็ไม่มาสักที เราก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเองในเวลานั้น จนผมปฏิญาณตนเองว่าผมจะไม่ร้องไห้ให้กับชีวิตตัวเองแล้ว ไม่เสียน้ำตาให้กับสิ่งไร้สาระของชีวิต เอาเวลาไปแก้ไขปัญหา ไปสู้ดีกว่า” .