พรบ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 62 กระตุ้นเศรษฐกิจ-เพิ่มรายได้เกษตรกร

กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2563
หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ qualitylife4444@gmail.com
พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์ สมุนไพร 2562 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2562 ปรับปรุงวิธีการอนุญาตขึ้นทะเบียนยาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะได้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีคุณภาพ ปลอดภัยมากขึ้น ทดแทนการนำเข้ายาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง เกิดประโยชน์ย้อนกลับสู่เกษตรกรนำสมุนไพรไทยมาแปรรูปเป็นสินค้า ทั้งยา อาหารเสริม เครื่องสำอางประชาชนมีทางเลือกทางดูแลสุขภาพจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้นได้
กรุงเทพธุรกิจ ข้อดีพ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562 ที่มองเห็นชัดเจนและจะส่งผลดีต่อวงการสมุนไพรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำคือผู้ประกอบวิชาชีพทาง การแพทย์และสาธารณสุขอื่นนอกเหนือจาก ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยสามารถจ่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรและ ยาแผนไทยบางรายการแก่ผู้ป่วยของตนเพื่อการดูแลสุขภาพได้
อีกประเด็น คือ ผู้ที่มีตำรับยาจากสมุนไพรของตนเอง สามารถขอขึ้นทะเบียนตำรับยาได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตผลิตหรือสถานที่ผลิตยาก่อน เมื่อได้ทะเบียนตำรับยาแล้ว สามารถจ้างสถานที่ผลิตยาที่ได้มาตรฐาน ผลิตยาที่ได้ ขึ้นทะเบียนและจัดจำหน่ายต่อไปได้ และแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ปรุงยา แบ่งบรรจุ จ่ายยา ขายยาแผนไทยแก่ ผู้ป่วยของตนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายนี้
ซึ่งปัจจุบันมีผู้ขึ้นทะเบียนเป็น ผู้ประกอบวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทยรวม 4 สาขา คือ เวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย การผดุงครรภ์ไทย และการนวดไทย ชประมาณ 37,000 ราย ผู้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์รวม 4,100 คน
พท.ป.ศิริกันยา สยมภาค อาจารย์สาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า ผลดีของการเกิดพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562 จะมีคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรแห่งชาติ มีคณะกรรมการผลิตภัณฑ์สมุนไพรกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมและกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สมุนไพร ด้วยระบบการอนุญาต การขึ้นทะเบียน การแจ้งรายละเอียด และการจดแจ้ง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมให้มีการพัฒนา ผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างเป็นระบบและครบวงจร ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย มีความปลอดภัย มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลรวมทั้งเพิ่มมูลค่าในการส่งออกไปยังต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น พระราชบัญญัติ ดังกล่าว ยังมีความสอดคล้องต่อการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมุนไพรซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564
จากเดิมไม่มีกฎหมายควบคุมและกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นการเฉพาะ ทำให้ต้องนำบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยยาและกฎหมายว่าด้วย อาหารมาใช้บังคับ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวยังไม่เหมาะสมกับการควบคุมและกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งไม่สอดคล้องต่อการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร การมีพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562 จะส่งผลดีต่อตลาดสมุนไพร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำได้
อาจารย์สาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย อธิบายว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นการทำให้การพัฒนาสมุนไพรที่เป็นยาหรือเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมสมุนไพรในประเทศตั้งแต่ระดับการผลิตวัตถุดิบสมุนไพรแล้วก็เอามาทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีการส่งเสริม เกษตรกร และผู้ผลิตที่เป็นรายเล็ก ในระดับชุมชนด้วยจึงเป็นโอกาสทองสำหรับเกษตรกรไทยที่จะปรับตัวการผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด
ทั้งนี้ การพัฒนา Products Champion กับสมุนไพรไทย 12 ชนิด ตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย 2560-2564 ครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาวิจัย จนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ ยารักษาโรค เวชสำอาง อาหารเสริม เครื่องดื่ม รวมทั้งได้ร่วมกันคัดเลือกสมุนไพร นำไปวิจัยต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เป็นที่ต้องการของตลาดเป็น Products Champion ทั้งหมด 12 ชนิด คือกวาวเครือ กระชายดำ ขมิ้นชัน บัวบก มะขามป้อม กระชาย พริก ไพล ฟ้าทะลายโจร กระเจี๊ยบแดง ว่านหางจระเข้ และหญ้าหวานในปี 2560 ได้ทำการคัดเลือกให้ กระชายดำ ขมิ้นชัน บัวบก และไพล เป็นสมุนไพร เชิงเศรษฐกิจ ต่อยอดผลิตหลายรูปแบบ ทั้งเวชสำอาง อาหารเสริม เครื่องดื่ม เป็นต้น
นายแพทย์ศิริชัย ลิ้มสกุล ผู้อำนวยการ บริษัทผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด กล่าวว่า การมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562 จะทำให้ตลาดสมุนไพรเติบโตมากขึ้น และหากเป็นไปได้ในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ควรมีการใช้ผสมผสานร่วมกันระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันกับการแพทย์สมุนไพรมากขึ้น จะเป็นการส่งเสริมให้ตลาดสมุนไพรไทยกว้างมากขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการผลิตสมุนไพร ตั้งแต่ต้นน้ำ เกษตรกรควรปรับกระบวนการเพาะปลูกให้เป็นอินทรีย์ หรือปลอดสารพิษเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สมุนไพร ส่วน ผู้ประกอบการจะต้องมีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และให้ความสำคัญ ต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก ที่สำคัญควรจะเน้นการบอกเล่าเรื่องราวและคุณประโยชน์ของสมุนไพรไทยว่าดีอย่างไร เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและเพิ่มความต้องการบริโภคสมุนไพรไทยเพิ่มขึ้น
“หากสามารถทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและทั่วถึง ในราคาที่ เป็นธรรม ก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น ที่สำคัญ หากสามารถนำสมุนไพรมาใช้ร่วมใน การป้องกัน บำบัด ดูแล และรักษาร่วมกันกับแพทย์แผนปัจจุบันได้ก็จะเป็นการดีมากขึ้นด้วยเช่นกัน และมีบางสถานพยาบาลใช้ทั้ง

แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]