
มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
หลัง “โควิด-19” เป็นจุดเปลี่ยน ครั้งสำคัญของการศึกษา ทั่วโลกต่างเร่งผลักดันโมเดลระบบการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อทำให้ภาคการศึกษายังคงดำเนินต่อไปได้อย่างไม่สะดุด
หนึ่งในนั้นคือการนำ “เทคโนโลยี” มาใช้ควบคู่ไปกับการปรับปรุงหลักสูตร ให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือการ “จับคู่งาน” ให้แรงงานกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ง่ายและเร็วที่สุด
เช่นเดียวกับที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ยังคงมุ่งมั่น ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง เน้นการปฏิบัติ ทำการสอน ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่สังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลิต “นักปฏิบัติ นักคิด นักสร้างสรรค์นวัตกรรม” สู่สังคมและประเทศ รองรับยุทธศาสตร์ชาติโดยเฉพาะ อย่างยิ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ แม้ว่าพิษโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจและแรงงานใหม่ที่เตรียมเข้า สู่ตลาดแรงงาน หรือต้องเผชิญกับ การเปลี่ยนแปลงสูงก็ตาม
ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาดอธิการบดี มทร.ธัญบุรี ได้เปิดเผยตัวเลขรับนักศึกษา ของ มทร.ธัญบุรี พบว่า ปัจจุบันยังคงเกินจำนวนที่ต้องการจากแผนการรับนักศึกษา โดยปี’63 มีถึง 105% ปี’62 110% หรือเฉลี่ยประมาณ 6,800 คน/ปี และปีนี้น่าสนใจตรงที่ว่าเด็ก ปวช. ปวส. มาสมัครเรียนภาคปกติในวันแรก 1,625 คน เกินจำนวนแผนรับซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,445 คน ทั้งนี้ มองว่าส่วนหนึ่งมาจากการ ที่มหาวิทยาลัยมีสัดส่วนการได้งานทำ 90-95% ในสายงานและอาชีพที่เป็นที่ยอมรับ
ขณะที่ด้านคณะต่างๆ ใน มทร.ธัญบุรี มีถึง 11 คณะ กับ 1 วิทยาลัย ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี 81-85 หลักสูตร ระดับปริญญาโท 22 หลักสูตร และระดับปริญญาเอก อีก 8 หลักสูตร นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ที่ได้รับการอนุมัติจากคุรุสภาให้สอนหลักสูตร ป.บัณฑิต ได้ครั้งละ 180 คน ซึ่งสูงที่สุดในประเทศ
รวมถึงมีหลักสูตรระยะสั้น ประเภทประกาศนียบัตร (Non-Degree) เพื่อฝึกอบรม เพิ่มทักษะสังคมและการทำงานให้กับกลุ่มคนทำงานด้วย เช่น หลักสูตรนวัตกรรมการผลิตโคเนื้อคุณภาพพรีเมียมเพื่อตลาดระดับบน หลักสูตรวิศวกรรมสิ่งทอในงานอุตสาหกรรม ยานยนต์สมัยใหม่ หลักสูตรฝึกอบรมทักษะเพื่อรองรับเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เป็นต้น
ผศ.ดร.สมหมาย ระบุว่า 80 กว่าหลักสูตรเป็น สหกิจศึกษาทั้งหมด และจัดการเรียนการสอน เชิงบูรณาการกับการทำงาน (WiL) ในรูปแบบ TM-15 ซึ่งปัจจุบันได้ยกระดับเป็นหลักสูตรบัณฑิตพันธุ์ใหม่ไปแล้วกว่า 40 หลักสูตร เพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย รองรับ New S-Curve โดย 50% ของแต่ละหลักสูตร นักศึกษาจะได้เรียนรู้วิธีฝึกปฏิบัติจากสถานประกอบการหรือภาคอุตสาหกรรม เมื่อถึงปี 4 เทอม 1 สามารถเลือกไปสหกิจศึกษาได้ทั้งในและต่างประเทศ และพร้อมสนับสนุนสหกิจศึกษาที่ต่างประเทศ คนละ 50,000 บาท ปี 4 เทอม 2 ให้ไปทำงาน 1 ภาคการศึกษา 15 หน่วยกิต สถานประกอบการให้เกรด ซึ่งขณะนี้ มทร.ธัญบุรี ได้มีสถานประกอบการที่ร่วมมือ อยู่ด้วยถึง 1,500 แห่ง
“เราเปิดหลักสูตรใหม่หลายหลักสูตร ประมาณ 8 หลักสูตรสอดคล้องกับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เกี่ยวกับอากาศยาน วิศวกรรม ระบบราง ความโดดเด่นคือ เรามีความร่วมมือกับ ผู้ประกอบการการรถไฟต่างๆ BTS MRT รวมทั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งกำลังสร้างระบบรถไฟฟ้าเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสาร 1 และ 2 เราส่งเด็กไปดูตั้งแต่เขียนแบบวางแบบ ขุดอุโมงค์ อยู่ 1 ปี เรียนจบแล้วก็ทำงานเลย เป็นอีกอัตลักษณ์หนึ่งของมทร.ธัญบุรีที่ทำให้นักศึกษาได้งานก่อนจบ และจบแล้วได้งาน ในสาขาอื่นก็เช่นเดียวกัน เช่น หลักสูตรทางด้านการเกษตร เกี่ยวกับ Smart Farm ก็เป็นที่ต้องการมาก เด็กถูกจองตัวเพื่อเข้าทำงานแทบทั้งหมด นี่คือหลักสูตรบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ได้ฝึกจริง ได้ทำงานจริง สถานประกอบการก็เลือกเด็กเลย”
ผศ.ดร.สมหมาย กล่าวอีกว่า ได้ตั้งเป้าที่จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรม ผลิตบัณฑิตเป็นนวัตกร เป็นนักคิดค้น นักประดิษฐ์ และเป็นเจ้าของ สถานประกอบการได้ ที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง อว. การเรียนการสอนก็เน้น
ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริงเป็นสำคัญ มีเทคนิคการเรียนการสอน เช่น สอนแบบสะเต็มศึกษา สอน Active Learning สอนแบบใช้โครงงานเป็นฐาน ใช้รูปแบบการสอนแบบฟินแลนด์ รวมถึงมีเทคนิคการสอนแบบ CDIO สำหรับช่วงโควิด-19 ได้จัดการเรียนการสอนร่วมกับ การเรียนการสอนแบบออนไลน์ รายวิชาที่จำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติ เครื่องมือต่างๆ ก็เตรียมพร้อม โดยจำกัดไม่ให้เกิน 25 คน ต่อห้อง
“ทุกหลักสูตรผลิตบัณฑิตออกไปแล้ว ต้องมีงานทำที่ตรงกับการพัฒนาประเทศ นั่นคือสร้างความยั่งยืนในงานของเขา ในทุกๆ งานอย่างน้อย 20 ปี มาเรียนที่นี่ไม่ผิดหวัง เรียนที่นี่ ได้ปฏิบัติจริง แล้วปฏิบัติร่วมกับภาคอุตสาหกรรม และจุดสำคัญคือ เราสร้างนวัตกรที่เป็นผู้ประกอบการได้ด้วย และมีความเจริญก้าวหน้าในงาน ตรงกับงานที่เด็กอยากจะทำ”
เรียกได้ว่าเป็นการต่อยอดรากฐาน ความถนัดเดิมที่มุ่งผลิตแรงงานด้านวิชาชีพ เน้นสร้างความสัมพันธ์กับภาคประกอบการ ให้มากขึ้น เพื่อร่วมทำหน้าที่เป็นเสมือนท่อส่งแรงงานป้อนอุตสาหกรรมอย่างตรงเป้า ให้มากที่สุดและต่อเนื่อง
ผลิตบัณฑิตสมรรถนะสูง เพื่อ การขับเคลื่อนประเทศ และนำพาประเทศให้ก้าวข้ามทุกวิกฤติได้ในที่สุด