
ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560
อุตสาหกรรมอาหารทั่วไปจะใช้สารเพคตินเป็นส่วนประกอบในการแปรรูปอาหาร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แยม เพื่อให้เกิดการคงรูปของอาหาร ยืดอายุให้นานวัน และแต่ละปีเราต้องนำเข้าเพคตินจากต่างประเทศที่ผลิตมาจากเปลือกส้มและแอปเปิ้ล ในราคาสูงถึง กก.ละ 1,000-2,000 บาท
ด้วยเหตุนี้ น.ส.สุวัฒฐา จันทร์อิน และ น.ส.จิรัชญา เกาะลอย นักศึกษาคณะเทคโนโลยีการเกษตร มทร.ธัญบุรี โดยมี ผศ.อัญชลินทร์ สิงห์คำ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา จึงได้ทำโครงการศึกษาวิจัยหาเปลือกผลไม้ของไทยชนิดใดบ้างจะมีเพคตินในปริมาณสูง โดยเริ่มจากนำเปลือกส้มมาศึกษา แต่เปลือกส้มบ้านเราบางเกินไป ให้ปริมาณเพคตินน้อย ไม่เหมือนเปลือกส้มต่างประเทศที่หนากว่าแต่ในที่สุดพบว่าเปลือกผลไม้บ้านเราที่มีเพคตินมากที่สุดคือแตงโมจึงนำมาทำการสกัดเอาสารเพคติน
ด้วยการนำเปลือกแตงโมมาล้างให้สะอาด ขูดเนื้อสีแดงออกให้หมด เอาเฉพาะสีเขียวและสีขาว หั่นเป็นชิ้นต้มกับน้ำอัตราส่วน 1 : 1 ที่อุณหภูมิ 80 c นาน 10 นาที แล้วนำ
มาบดด้วยเครื่องปั่นผลไม้กรองด้วยผ้าขาวบางก่อนจะอบแห้งอุณหภูมิ 50 c นาน 15 ชม. จนเหลือความชื้น 10% นำไปบดละเอียดอีกครั้งและร่อนผ่านตะแกรงร่อนขนาด 212 ไมโครเมตรเพื่อให้เป็นผง
เมื่อนำเพคตินสกัดจากเปลือกแตงโมมาทดสอบคุณสมบัติทางเคมี ผศ.อัญชลินทร์เผยว่า มีค่าใกล้เคียงกับเพคตินที่นำเข้าจากต่างประเทศ และเมื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตแยมกระเจี๊ยบแดง
แยมกระเจี๊ยบแดงผสมด้วยเพคตินจากเปลือกแตงโม มีรสชาติ มีค่าสี ปริมาณกรดทั้งหมดผลการบริโภคไม่แตกต่าง
ไปจากแยมกระเจี๊ยบแดง
ผสมเพคตินที่นำเข้า สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มทร.ธัญบุรี 0-2549-1955.