
เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 08 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอคองคอร์ด กรุงเทพฯ นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม กล่าวปาฐกถาเรื่อง “โอกาสของการยกระดับศักยภาพของบุคลากรไทยผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางราง” ในการประชุมผู้บริหารเครือข่ายสถาบันวิชาการระบบขนส่งทางรางเพื่อกำหนดความต้องการด้านการพัฒนาบุคลากร และองค์ความรู้ที่สำคัญว่า การพัฒนาระบบรางเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงโดยอีกประมาณ 5 ปี หลังจากนี้โครงการรถไฟฟ้าต่าง ๆ จะทยอยเปิดให้บริการทั้งรถไฟฟ้าหลากสีในกรุงเทพฯ รถไฟฟ้ารางเบา รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ไทยต้องการบุคลากรด้านราง ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับปฏิบัติการไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคน
นายพิชิต กล่าวต่อว่า ปัจจุบันศักยภาพในการผลิตบุคลากรด้านรางของไทยมีไม่มากนัก มีสถาบันที่ผลิตบุคลากรด้านนี้ไม่กี่แห่ง ได้แก่ โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ มหาวิทยาลัย (ม.) มหิดล ม.เกษตรศาสตร์ ม.เทคโน โลยีราชมงคลธัญบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ม.หอการค้า ม.รังสิต และสถาบันอาชีวศึกษา 12 แห่ง รวมแล้วผลิตบุคลากรได้ปีละประมาณ 1,000 คน อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีบุคลากรด้านรางแล้ว 1 หมื่นคน ยังมีเวลาเหลืออีก 4-5 ปี ที่ต้องเร่งผลิตบุคลากรให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายพิชิต กล่าวต่อว่า การจะพัฒนาหรือสร้างบุคลากรทางระบบรางให้มีคุณภาพนั้น องค์ความรู้ต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ อาทิ การสร้างระบบราง ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบการควบคุมสถานีการควบคุมรถ เป็นต้น จึงต้องร่วมกันคิดว่าจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบรางอย่างไรที่จะทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะการผลิตบุคลากรแต่ละประเภทต้องลงทุน ทั้งอุปกรณ์ และเครื่องมือในการเรียนรู้วิจัย และพัฒนา มีราคาค่อนข้างสูงดังนั้นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวคงไม่สามารถทำได้ต้องแบ่งกันว่าสถาบันใดจะรับผิดชอบผลิตบุคลากรด้านใด และต้องทำเป็นโรงเรียน หรือวิทยาลัยอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ภายใน 6 เดือนหลังจากนี้จะเห็นภาพชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร และเปิดสอนในระดับใดบ้าง
นายพิชิต กล่าวด้วยว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบรางครั้งนี้จะให้ทางจีนเข้ามาร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับไทยด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในสัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ-หนองคายที่รัฐบาลไทยได้กำหนดไว้เบื้องต้นจะให้จัดตั้งบริษัทร่วมกันระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และทางจีนเป็นบริษัทบริหารจัดการเดินรถ และซ่อมบำรุง ซึ่งจากการหารือเบื้องต้นทางจีนก็พร้อมเพราะเป็นหน้าที่หลักที่จีนต้องทำให้ไทยสามารถเดินรถได้ และต้องซ่อมรถให้ได้ด้วย.