
เดลินิวส์ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ศราวุธ ดีหมื่นไวย์
“ปัญญาประดิษฐ์” หรือ “เอไอ” ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผลคล้ายๆกับสมองของมนุษย์กำลังเป็นที่จับตามอง…หลายประเทศในโลกต่างเร่งพัฒนา เพื่อสร้างต้นแบบที่จะเข้ามาช่วยในการทำงานของมนุษย์ซึ่งในปัจจุบันหลายธุรกิจได้นำมาใช้ แต่สำหรับประเทศไทย การพัฒนายังอยู่ในช่วงที่ท้าทาย คนทำงานจะต้องตั้งรับกับเทคโนโลยีนี้อย่างไร ดร.กิตติวัณณ์ นิ่มเกิดผล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า เอไอมีการพัฒนามายาวนาน จากยุคก่อนที่อาจไม่ใช้พลังงานไฟฟ้า พัฒนาสู่ปัจจุบันที่เป็นคอมพิวเตอร์ โดย หลักการทำงานคล้ายกับเซลล์สมองมนุษย์ที่ใช้แยกแยะสิ่งต่าง ๆ แล้วมาวิเคราะห์เป็นข้อมูล เช่น การวิเคราะห์ผ่านภาพใบหน้าคนที่มีการประเมินสัดส่วน ตั้งแต่หู ตา จมูก ปาก ระบบจะวิเคราะห์ในภาพรวมก่อนประเมินว่า เป็นหน้าคนที่ค้นหาหรือไม่
“สมัยก่อนข้อมูลอาจมีไม่เยอะ การประเมินผลของคอมพิวเตอร์ยังไม่รวดเร็วพอ ทำให้เป็นอุปสรรคในการใช้งาน แต่ทุกวันนี้ทุกอย่างเร็วขึ้น ระบบเอไอจะพัฒนาให้ดีได้นั้น ต้องมีข้อมูลที่เข้ามาในระบบมากพอจึงจะสามารถทำให้ระบบดีขึ้นได้
การทำงาน ถ้าไม่มีข้อมูลเข้ามาในระบบเอไอเยอะๆก็จะไม่สามารถพัฒนาได้ อย่างเช่น จีนลงทุนพัฒนาเอไอด้วยเงินมหาศาล เพราะประเทศเขามีข้อมูลมาก และค่อนข้างเปิดเผยข้อมูล อย่างข้อมูลที่แพทย์รักษาคนไข้ ทำให้มีข้อมูลเข้ามาในระบบมาก ซึ่งถ้ามีการทำระบบเอไอในการวิเคราะห์ผู้ป่วย ก็ต้องมีข้อมูลที่มากพอ เพื่อให้ระบบมีการวิเคราะห์ที่แม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ”
เอไอจึงไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด.ทุกคนที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กต้องผ่านระบบเอไอทั้งนั้น เช่น กูเกิล เวลาพิมพ์คำถามเข้าไปต้องผ่านระบบประมวลผล เพื่อแสดงคำตอบออกมา ระบบนี้ใช้ทั้งในอุตสาหกรรมการผลิต งานบริการ โดยเฉพาะงานที่ใช้หุ่นยนต์
ดร.กิตติวัณณ์ ระบุเพิ่มอีกว่า เอไอสามารถทำได้ตั้งแต่ การวิเคราะห์การตลาด รวมถึง งานที่ต้องทำแบบเดิมซ้ำ ๆ เช่น งานด้านบัญชี กฏหมาย การแพทย์ เวลารักษาผู้ป่วยจะมีกรณีศึกษาเก่า ๆ ผ่านมา เอไอจะรวบรวมข้อมูลเก่า วิเคราะห์เบื้องต้น โดยสามารถตอบคำถามสุขภาพแบบออนไลน์ได้ ส่วนด้านกฏหมาย เป็นการศึกษากรณีเดิม ๆ ที่เหมาะกับการถามตอบทางออนไลน์
หากมีการพัฒนาเอไอเข้ามาช่วยในการทำงานให้มากขึ้น อาชีพที่จะได้รับผลกระทบคือ พนักงานในสายการผลิต เช่น บริษัทที่นำระบบอัตโนมัติมาใช้ พนักงานรายวันจะได้รับผลกระทบมาก
“ระบบเอไอในบ้านเราอาจไม่มีผลกระทบต่อคนที่ทำงานในระดับกลางมากนัก แต่จะเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ หรือทำให้บริการนั้นดีขึ้น เช่น คอลเซ็นเตอร์ อาจไม่ใช้คนมากเหมือนแต่ก่อน แต่ใช้เอไอมาช่วยประเมินผล อย่างการประเมินสุขภาพเบื้องต้น
ด้านอาชีพการตลาด คนที่วิเคราะห์ข้อมูลจะลดลง เพราะระบบเอไอเข้ามามีส่วนในการวิเคราะห์การตลาดจากระบบข้อมูลที่มีอยู่ แต่ยังต้องมีคนคอยควบคุม แต่อาจน้อยลงและคนที่มีอยู่ต้องสามารถตีความจากระบบได้”
พนักงาน ในธุรกิจที่มีแนวโน้มว่าต้องนำเอไอมาใช้จึงต้อง เตรียมความพร้อม มีความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องที่จะมาช่วยเสริม ส่วนผู้ประกอบการระบบเอไอ ก็ต้องมีความพร้อม และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่รับจ้างผลิตชิ้นส่วน เพราะหากมีระบบเอไอเข้ามาช่วยก็จะทำให้การทำงานรวดเร็วและต้นทุนถูกลง
ถ้ามองในมุมของ ลูกค้า การพัฒนาระบบเอไอให้มีประสิทธิภาพสูง จะได้รับความสะดวกสบายที่เร็วขึ้น ถ้าระบบคอมพิวเตอร์มีการเขียนโปรแกรมที่ดี ลูกค้าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำกว่าการทำงานของมนุษย์ เช่น การไปซื้อของที่ร้านยา เราอาจไม่แน่ใจว่าคนขายเป็นเภสัชกรจริงหรือ
ไม่ แต่ถ้าใช้ระบบเอไอ คนซื้อสามารถบอกได้ว่า มีอาการป่วยอะไร แล้วระบบจะทำการวิเคราะห์ผ่านสมองกล ซึ่งจะประเมินจากตัวอย่างอาการป่วย ที่มีมาก่อนหน้า
“การใช้โซเชียลในปัจจุบัน เราใช้กันเยอะ แต่เป็นระบบของคนต่างชาติ มีข้อมูลมากมายที่อยู่ในระบบ และถูกเก็บไว้ ซึ่งบริษัทที่จะผลิตสินค้า สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ และรู้ถึงความต้องการของลูกค้าในประเทศนั้นได้ จึงง่ายมากในการทำสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ โดยไม่ต้องทำแบบสำรวจในประเทศนั้น ๆ เหมือนแต่ก่อน” ปัญหาการพัฒนาระบบเอไอของไทย ข้อมูลที่จะใส่เข้าไปในระบบยังมีไม่เพียงพอ และเรายังไม่ใช่เจ้าของข้อมูลในระบบโปรแกรมที่มีอยู่ แต่อย่างไรแล้วเราสามารถพัฒนาได้ ขอมีเงินทุนในการทำข้อมูล อย่างเช่น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่มีความเร็วที่สุดในโลกตอนนี้ซึ่งอยู่ที่จีน การพัฒนาระบบ เอไอได้ต้องมีซูเปอร์คอมพิวเตอร์มารองรับ เพราะสามารถเก็บข้อมูลที่มีขนาดเยอะ และประเมินผลได้เร็ว บางที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นหมื่นเครื่องเพื่อทำให้ระบบมีความเร็ว
ประเทศไทยคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิ ภาพสูง อย่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ยังไม่ค่อยมีให้ใช้ ที่มีอยู่ประชาชนก็ใช้ไม่ได้ ทำให้คนที่มีความรู้เรื่องเอไอไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
“การพัฒนาเอไอในไทย มีผู้ที่ทำอยู่ แต่ปัญหาคือระบบข้อมูลที่จะไปพัฒนาในระบบ ใครจะเป็นผู้รวบรวมให้เหมาะสมกับธุรกิจนั้น และหลายครั้งเน้นวิจัยแบบมุ่งเป้า ศึกษาเพื่อให้ได้บางสิ่งออกมา เราเลยไม่มีงานวิจัยที่แปลก ๆ ฉีกออกจากแนวคิดเดิม ขณะเดียวกันงานวิจัยของคนไทยส่วนใหญ่เป็นงานที่ประยุกต์การวิจัยที่มีอยู่เดิมแล้วมาใช้”
เอไอ ถ้าถูกพัฒนามาช่วยในระบบสาธารณูปโภค เช่น การจราจรจะต้องมีระบบการเก็บข้อมูลที่มากพอ เหมือนโปรแกรม กูเกิลแม็พ ที่บอกการจราจรที่ติดขัดในถนนเส้นนั้น ซึ่งถูกส่งมาจากมือถือของคนที่อยู่บนถนนว่า มีการเคลื่อนตัวเร็วหรือช้าแค่ไหน และผ่านการประเมินผลออกมา โดยจะมีการประเมินผลว่าวันนี้ ในแต่ละปีมีการจราจรในพื้นที่นั้นติดขัดแค่ไหนการเก็บข้อมูลเป็นปี ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์บ้านเรายังไม่มีการทำมากนัก
ภาครัฐหากจะส่งเสริมการพัฒนาเอไอต้องมีการจับคู่นักวิจัยกับผู้ที่ทำธุรกิจ เพราะเอไอมีหลายแบบทั้งวิเคราะห์ข้อมูลภาพ เสียง ตัวอักษร ถ้ามีการจัดเป็นหมวดหมู่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เจอกัน ก็จะช่วยให้เกิดการพัฒนาได้ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคของบ้านเรา คือหลายบริษัทยังมองข้อมูลที่ตัวเองมีเป็นความลับทางธุรกิจ
“สิ่งที่หลายคนห่วงว่าระบบเอไอที่ฉลาดมาก ๆ จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาควบคุมมนุษย์อย่างในหนัง ค่อนข้างเป็นเรื่องยาก เพราะเอไอที่พัฒนาระบบจนสามารถคิดเองได้อย่างมนุษย์ ยังห่างไกลมาก
ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการให้บริการ และการผลิตถ้า นำเอไอมาใช้ จะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจบริการ สามารถทำระบบอัตโนมัติผ่านแบบสอบถาม ตั้งแต่เข้ามายังสนามบิน หรือในร้านค้าต่าง ๆ แม้แต่การทำคอลเซ็นเตอร์ผ่านระบบอัตโนมัติของเอไอ ผู้ประกอบการไม่ต้องมีห้องใหญ่ ๆ มีเพียงห้องเล็ก ๆ ไว้วาง ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถตอบรับคนที่โทรฯ เข้ามาได้ทั้ง ประเทศ”
…”ปัญญาประดิษฐ์” เป็นอีกสิ่งที่ต้องช่วยกันพัฒนาให้เป็นระบบ เพราะนอกจากการสร้างการแข่งขันให้เทียบเท่ากับชาติ อื่น ๆ แล้ว ยังสามารถสร้างงานใหม่ ๆ ให้กับคนไทยในภาวะที่โลกไร้พรมแดน…
แต่ก็ต้องมีการตั้งรับที่ดีด้วย.
“หลักการทำงานคล้ายเซลล์สมองของมนุษย์”