คอลัมน์ เดลินิวส์วาไรตี้: ขยายกรอบคิด’ภูมิปัญญา’ สู่’แฟชั่นผ้าขาวม้า’ สุดชิค

เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560
จุฑานันทน์ บุญทราหาญ
“ผ้าขาวม้า” ผ้าฝ้ายทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายตารางหมากรุก เป็นหนึ่งใน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่สื่อถึงวิถีชีวิตของชุมชนมานานกว่า 700 ปี เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ที่คนไทยใช้กันมาแต่โบราณ ทั้งนุ่งอาบน้ำ เช็ดตัว ผูกเอวแทนเข็มขัดคลุมหัวกันแดด หรือดัดแปลงทำเปลนอนก็ยังได้ ซึ่งมีสีสันและลวดลายแตกต่างกันไปตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่น…
เมื่อพูดถึง ผ้าขาวม้า ที่เห็นกันมาเนิ่นนาน ใครว่าใช้แล้วเชย…เปลี่ยนความคิดใหม่ได้แล้ว!!เพราะปัจจุบันมีการนำมาออกแบบเป็น แฟชั่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสไตล์ผ้าขาวม้า สุดชิค เห็นได้จากโครงการ “ผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย : The Charm of Pakaoma” โดย กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้แต่ละชุมชนสร้างผ้าขาวม้าที่มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจน รวมทั้งผลักดันให้เกิดการเพิ่มมูลค่า มีการแปรรูปให้เป็นสินค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนจัดการประกวดผ้าขาวม้าท้องถิ่นที่มี อัตลักษณ์ พร้อมแฟชั่นโชว์ที่ออกแบบและตัดเย็บในคอนเซปต์ชุดราตรีผ้าขาวม้า ซึ่งเป็นผลงานจากผู้ชนะการประกวดในโครงการผ้าขาวม้า Young Designer ผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย โดยมีการมอบรางวัลแก่ชุมชนที่ชนะการประกวดที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเปลี่ยนมุมมอง ชุบชีวิตให้ผ้าขาวม้าให้มีชีวิตในโลกแฟชั่น
ไอเดียการออกแบบผ้าขาวม้าโดยนำมาแปรเปลี่ยนให้กลายเป็น แฟชั่นผ้าขาวม้า นั้น เพลินจันทร์ วิญญรัตน์ นักออกแบบผ้าและผลิตภัณฑ์ พูดถึงเรื่องนี้ว่า ผ้าขาวม้าของไทยมีความคล้ายกับผ้าลายหมากรุกของอังกฤษ หรือลาย Scotch House ของสกอตแลนด์ ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ตัวตนของชุมชนและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก…
ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เชื่อมั่นว่า ผ้าขาวม้าของไทยก็สามารถเป็นที่นิยมไปทั่วโลกได้เช่นกัน… จากการออกแบบผ้าขาวม้าที่มีลวดลายและสีสันต่างกันของชุมชนต่าง ๆ เกณฑ์ในการคัดเลือกจะต้องดูในแง่ของการใช้งานเป็นหลักว่า ผ้าที่ทอมานั้นทิ้งตัวดีหรือไม่ ซับน้ำหรือเปล่า เพราะเป้าหมายในการออกแบบ คือเมื่อทำออกมาแล้วผลิตภัณฑ์ต้อง สวยงาม ใช้งานได้จริง มีความคงทน ลูกค้าจึงจะเกิดการซื้อต่อเรื่อย ๆ
“บางชุมชนทอลายผ้าออกมาได้สวยงาม มีความประณีตมาก โดยทอออกมาเป็นลวดลายสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัด มีเรื่องราวและความเป็นมามากมาย อีกทั้งใช้เวลาในการทอค่อนข้างนาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกใจกลุ่มลูกค้าเสมอไป เพราะอาจไม่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่ต้องนำไปใช้จริง”
ทั้งนี้ การสร้างสรรค์งานครั้งนี้ จะต้องคำนึงถึงศักยภาพของชาวบ้านและจุดเด่นของแต่ละชุมชนด้วย จึงได้มีการคัดเลือกตัวแทนให้มา เวิร์กช็อปร่วมกับคณะกรรมการ มีการให้คำแนะนำและแนวคิดต่าง ๆ ในการปรับรูปแบบให้เข้ากับ ดีไซน์ รวมถึง ไลฟ์สไตล์ ในปัจจุบัน ตลอดจนการแปรรูปเป็นสินค้าต่าง ๆ โดยให้แต่ละชุมชนกลับไปผลิตสินค้าของตัวเอง เพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนการทำ จากนั้นจึงกลับมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำกันอีกจนลงตัว ก่อนนำรูปแบบไปผลิตเป็นสินค้าจริงออกสู่ตลาด
“เมื่อมีความรู้ในการออกแบบ ผสมผสานกับผ้าทอที่มีความละเอียด สวยงามอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถขยายช่องทางสู่ตลาดได้กว้างและตรงกับความต้องการมากขึ้น เพราะคนไทยมีจุดเด่นในเรื่องของงานฝีมือที่มีความประณีต สวยงาม มีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก”
เพลินจันทร์ พูดถึงทิศทางในอนาคตว่าเรา ต้องคงความสวย งามที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้าขาวม้าไว้โดยเลือกเปลี่ยนแปลงในบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด เช่น ปรับขนาดของตาราง ที่จากเดิมเท่ากันหมด ให้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เพื่อเพิ่มมิติและลูกเล่นหรือโทนสี หรือจะเป็นการจับคู่สีที่เป็นเทรนด์ในขณะนั้น อย่างผ้าขาวม้าสีขาว-ดำ ที่ดูคลาสสิกและร่วมสมัย ซึ่งตรงนี้อยู่ที่ว่าจะนำไปปรับใช้กับอะไร เพื่อ ให้เกิดความเหมาะสม และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
“ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจผ้าขาวม้าไทยมากขึ้น ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่กระตุ้นและสร้างค่านิยมให้ผู้คนนิยมสินค้าไทยและภาคภูมิใจในความเป็นไทยมากขึ้น ถ้าสามารถทำสินค้าผ้าขาวม้าที่ใช้งานได้จริง รูปแบบทันสมัยโดนใจ ผู้คนก็ย่อมให้การยอมรับและอยากจะซื้อใช้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน”
ด้าน หม่อมหลวงคฑาทอง ทองใหญ่ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงทิศทาง แฟชั่นผ้าขาวม้า ว่า สินค้าทุกอย่างถ้าไม่ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้จัก ไม่มีทางได้รับความนิยม ซึ่งช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มคนรุ่นใหม่นำผ้าขาวม้ามาแปรรูปเป็นสินค้า ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ซึ่งเป็น เทรนด์ ของตลาดอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราคนไทยเริ่มสนใจเอกลักษณ์และสินค้าของตัวเองมากขึ้น
อีกทั้งเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณี ซึ่งเป็นเทรนด์อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัย นี่คือ เสน่ห์ของไทย สิ่งที่สำคัญสำหรับการ ส่งเสริมให้แต่ละชุมชนสร้างผ้าขาวม้าที่มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจน รวมทั้งกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้น มองว่าเป็นเรื่องของการตระหนักรู้ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้คนได้ตื่นตัวและกลับมามองเรื่องผ้าขาวม้า แล้วนำเสนอสินค้ามีคุณภาพ จากนั้นเสริมจุดเด่นด้วยเรื่องราวว่ามีความเป็นมาอย่างไร แล้วค่อยต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความต้องการในปัจจุบัน
เมื่อก่อนวัตถุดิบหลัก คือ ฝ้าย แต่ปัจจุบันมีทั้ง ผ้านาโน หรือดรายฟิตที่แห้งไว ใส่สบาย รวมทั้งมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมมากขึ้น ซึ่งเราสามารถ นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมในผ้าขาวม้า ได้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ต้องเลือกสีให้ถูก
“สมัยนี้ลูกค้านิยมสินค้าออร์แกนิกจากธรรมชาติ เราก็ต้องเลือกใช้สีธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อสร้างจุดขายอีกอย่างหนึ่งให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ผลิตต้องปรับตัวให้ทันกับตลาด หรือเทรนด์ของสีในช่วงนั้น ๆ แต่สิ่งสำคัญคือต้องรักษาเอกลักษณ์และที่มาของผ้าขาวม้าอย่างชัดเจน”
มาถึงประเด็น…การออกแบบเสื้อผ้าจากผ้าขาวม้าต้องคำนึงถึงส่วนใดบ้าง? ในมุมของ สุระจิตร แก่นพิมพ์ ประธานหลักสูตรการออกแบบแฟชั่นและศิลปะสิ่งทอ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งกล่าวว่าผ้าขาวม้าสามารถนำมาพัฒนาเป็นชุดต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยาก แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการ ทำแพทเทิร์นให้มีลูกเล่น การนำลายมาต่อกัน รวมทั้งการนำวัสดุอื่น ๆ เข้ามาเสริมให้การตัดเย็บเกิดความน่าสนใจขึ้น
“อย่างการอัดพลีท โดยปกติผ้าขาวม้าเมื่ออัดพลีทแล้วจะคลายตัว เนื่องจากเป็นผ้าที่ใช้วัสดุธรรมชาติ แต่ก็ได้นำมาอัดกาวเสริมแล้วอัดพลีทเพื่อให้อยู่ตัว คลายตัวได้ยากขึ้น รวมทั้งตกแต่งด้วยวัสดุอื่น ๆ ให้เกิดความแปลกใหม่ ส่วนเทรนด์ของสีผ้าขาวม้า จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าโทนสีขาว-ดำ หรือสีแดง-ดำ จะดูอินเทรนด์ที่สุด ลวดลายที่นำมาประยุกต์ใช้คงต้องเป็นลายตารางดั้งเดิมของผ้าขาวม้า แต่ต้องนำมาตัดต่อให้เกิดความสมดุลกันให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่สวยงาม”
กนกรัตน์ มุณีรัตยากร นักศึกษาสาขาออกแบบแฟชั่นและศิลปะสิ่งทอ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีเล่าถึงผลงานที่ส่งเข้าประกวดจนได้รางวัลชนะเลิศว่า ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากการเต้นรำของสเปน ตั้งใจ สร้างแพทเทิร์นให้เน้นสัดส่วนเว้าอก เว้าเอว ใส่แล้วดูเซ็กซี่นิด ๆ ช่วงบนตัดเย็บด้วยผ้าขาวม้า ซึ่งเป็นโจทย์หลัก ส่วนชายกระโปรงท่อนล่างเย็บต่อด้วยผ้าชีฟองสีดำ เพื่อให้ชุดดูหรูหราและโมเดิร์นขึ้น ใส่ออกงานกลางคืนได้ไม่ต้องเขินอาย ส่วนชุดผู้ชายนั้นตั้งใจ นำผ้าขาวม้า 2 ลาย 2 สีมาตัดต่อกันผสมกับพื้นสีดำเพื่อให้ดูเท่ขึ้น เลือกใช้สีแดงเพราะผ้าขาวม้าเมื่อก่อนจะเห็นแต่สีขาว-แดง อยากให้เป็นสีที่คนไทยคุ้นเคยกัน
“ความยากของการนำผ้าขาวม้ามาตัดเย็บอยู่ที่เรื่องของการวางลายผ้าที่ต่อกันยาก ความกว้างของผ้าขาวม้าก็ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายเหมือนกันเพราะมีหน้ากว้างแค่ 50 เซนติเมตร ต้องหาวิธีตัดต่อให้กลมกลืนและประหยัดผ้าด้วย ซึ่งการตัดต่อลายผ้าจะช่วยให้เกิดความทันสมัยขึ้นได้เช่นกัน”
…ก็นับเป็นการ “พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้า” ที่มีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไป ขยาย “ผ้าทอพื้นเมืองจากทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น” ให้มีตลาดขนาดใหญ่ขึ้น…
และก่อเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด.

“ก็สามารถเป็นที่นิยมไปทั่วโลกได้”


แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]