
จากเด็กบ้านแตก ตุหรัดตุเหร่เซซัดกับคืนวันอันอัตคัดของ คนเร่ร่อน ขโมยอาหาร ขอข้าววัด ถูกหลอกเป็นเด็กเดินยา ก่อนฟ้าที่เคยปิดจะแง้มเปิดราวกับจะหยั่งเชิงวิสัยทัศน์ในตัวและโอกาสในการสร้างด้วยตัวเอง “ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ” อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ทำไม่ดี ได้ดี มีที่ไหน ทำดีได้ดีสิถึงใจ
เทก 2 คัต 1 บทวัดชีวิตที่ติดลบแต่…”เท่มาก”
“ก่อนจะคิดได้ ทุกวันนี้ผมมองย้อนอดีตไปตลอดว่าเรา ผิดพลาดอะไรบ้าง มีอะไรที่เราไม่เข้าใจมาบ้าง จนตอบโจทย์เราหมด ผมเรียนรู้ชีวิตตัวเองทั้งหมดจากอดีต ด้วยเหตุและผล เลยเข้าใจหมดทุกอย่าง”
หลังจากมืดมนในโลกมืดตัวคนเดียว แม่ที่จากบ้านไปนานถึง 2 ปี ก็รู้ซึ่งความจริงถึงสถานภาพครอบครัว จึงได้เดินทางกลับมาบ้านเพื่อตามลูกๆ กลับ และอบรมพร่ำสอนให้เป็นคนดีอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ขุดล้างพฤติการณ์ความเคยชินที่ฝังในช่วงวัยเรียนรู้เติบโต
“ด้วยความเคยตัวสองปี แม่กลับมาดูแล ก็ปลุกแล้วปลุกอีก พูดเท่าไหร่ผมก็ไม่ฟัง ไม่ไปโรงเรียน เถียงตลอด ขึ้นเสียงตะคอก ทุกอย่าง หาข้ออ้างทุกอย่าง ไม่สบาย ปวดหัวตัวร้อน จนวันหนึ่งที่บ้านส้วมเต็ม ก็จะหัวหมอ อ้างไม่ไปโรงเรียนอีกตามเคย แม่บอกไม่ต้อง ให้เราอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันอย่างเดียวพอแล้วไปเรียน
“ทว่าพอกลับมา แม่ก็รอผมเข้านอน แล้วก็จุดเทียนเข้าไปห้องน้ำ กะเทาะปูนฝาส้วมออก แล้วเอากระป๋องสีตักอุจจาระออก ก่อนจะดับเทียนแล้วเอาไปทิ้งห่างจากบ้าน 2-3 เมตร แล้วก็จุดเทียนกลับใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ทีละกระป๋อง ในตอนนั้นผมยังหลับไม่สนิทเลยย่องมาดูว่าแม่ทำอะไร เห็นแม่ทำเท่านั้น ผมไม่กล้าออกมา เพราะกลัวแม่ใช้ ก็ได้แต่แอบมอง แม่ยอมทำขนาดนี้เพื่อเรา มันทำให้ผมย้อนมองตัวเอง แล้วที่ผ่านมา ผมทำอะไรเพื่อแม่บ้าง ก็มีแต่เรื่องเลวๆ แล้วเขาไม่เคยสบายใจหรือพูดอะไรกับเราเลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนงานมาทำงานรับจ้าง เงินไม่พอกิน ไม่มีเหลือติดตัว ต้องไปเก็บขยะประทังชีวิต
“ก็เริ่มตั้งใจเรียนและช่วยแม่เก็บขยะ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ยังมีความอาย อายเพื่อน เพื่อนล้อ พยายามจะเลี่ยงตอลด แม่ก็จับนั่งรถเข็นขยะเลย ไม่งั้นผมเดินหนีไปอีกทางหนึ่ง แต่หลังๆ มันอด มันไม่มีเงินก็ต้องทำ ซึ่งจริงๆ ขยะไม่ได้ทำร้ายผม คนบอกว่าขยะเน่าเหม็น แต่สำหรับผมมันเหมือนเสี่ยงโชค เวลาผมมองทาง ผมไม่เคยมองไปข้างหน้า มองพื้นอย่างเดียวว่ามีขยะหล่นตรงไหนบ้าง มองถังขยะ ถ้าเปิดถึงขยะมาแล้วมันโล่ง ผมเศร้านะ ชีวิตมันไม่มีความหวัง ไม่มีโชค ตรงกันข้ามคนปกติ ชอบถังขยะโล่ง เป็นโชค เขาจะได้ทิ้งขยะได้ มันหาเลี้ยงเรา แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยู่ไม่ได้ คือคนที่มองผมเหมือนขยะไปพร้อมกันด้วย”
ยิ่งถูกดูถูก ยิ่งต้องทำให้สำเร็จมากเท่านั้น ต้องสู้กับตัวเองดีกว่า … คือคำพูดที่เตือนสติ เป็นเครื่องตอกย้ำให้ต้องก้าวล่วงให้สำเร็จ
“มีทางเดียว ต้องเรียนๆๆ ตั้งใจเรียน เพื่อเอาการศึกษามาหาให้เราเกิดปัญญา สร้างโอกาสให้กับตัวเอง ก็ไปเลือกเรียนสายช่าง เรียนช่างเชื่อม เพราะว่าข้างบ้านมีร้านทำประตูหน้าต่างเหล็กดัด กะว่าจะมาทำใกล้ๆ บ้านนี่แหละในตอนนั้น
“ทีนี้พอไปเรียน ผมมีเป้าหมายในการเรียน รู้ว่าจบมาจะทำอะไร ต่างจากหลายๆ คนที่เรียนเพราะสอบไปไม่ติดบ้าง ก็เลยมาเรียนอันนี้ก่อน หรือมาเรียนเพราะที่บ้านสั่งให้มาเรียน ผลการเรียนผมก็เลยดีกว่าเพื่อน แต่ผมไม่สนใจผลการเรียน ผมสนใจว่าผมจะได้อะไรติดตัวบ้าง
“หลังจากนั้นคุณครูก็เลยถามว่า ถ้าเราตั้งใจเรียนขนาดนี้ ทำไมไม่ตั้งใจเรียนให้สูงขึ้น เราก็บอกว่าผมจะตั้งใจเรียนไปทำไมครับ ผมแค่อยากไปทำงานแค่นี้ อาจารย์ก็สอนว่าถ้าเรียนสูงขึ้น เวลาไปทำงาน เงินสูงกว่า มั่นคงกว่า ณ ตอนนั้นก็ยังคิดในใจเราจะไปยังไง ครูท่านก็เมตตาให้โควตาไปเรียนต่อ ก็ไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัด ตอนที่เรียนช่าง เราก็ทดสอบฝีมือตัวเองโดยครูหางานมาให้ทำ ทำให้ผมหางานได้ระหว่างเรียนอยู่แล้ว และแม่ก็บอกว่าจะส่งเงินมาให้ แต่จริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าปลายทางเราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เพราะแม่บอกส่งให้ 2,000 บาทต่อเดือน แต่ค่าเช่าห้องก็ 1,500 บาทแล้ว เหลือกิน 500 บาท”
สำนึกแห่งดี เกิดจุดใด ก็ได้ดี
รุ่งอรุณแห่งด็อกเตอร์อาจารย์ผู้ส่งต่อ
“ทุกครั้งที่ผมเจอคนเร่ร่อนมาขอเงิน บอกว่ามาหางานทำนานแล้วไม่ได้สักที ผมรีบให้เลย” ดร.หนุ่มเผยความรู้สึก ก่อนจะร่าย โมงยามชีวิตที่ต่อให้พลิกลุกขึ้นยืนแล้วก็ยังต้องช่วยเหลือคนอื่น
“เพราะผมได้รับโอกาสนั้น หลังจากจบที่สงขลา ผมมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ผมไม่มีที่อยู่อาศัย มีแค่บัตรประชาชนกับวุฒิการศึกษา พอจะไปสมัครงานก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเราไม่มีที่อยู่ที่ กทม. มีใครให้ติดต่อ มีแม่อยู่คนเดียว หลักประกันผมไม่มี หางานเท่าไหร่ก็ ไม่ได้
“ที่ผ่านมาได้ ก็เพราะใช้วิธีการไปลองสอบเข้าเรียน เพื่อจะได้มีเพื่อน เนื่องจากเพื่อนส่วนมากก็มีที่พัก เราไปขออยู่ด้วย ก็ได้ที่พัก เวลาสอบสัมภาษณ์กับอาจารย์ ก็บอกขออาจารย์ครับ ผมไม่มีเงินเรียน ต้องทำงาน อาจารย์ช่วยค้ำประกันผมหน่อยได้ไหม ก็ได้โอกาสเหล่านี้ทำให้ชีวิตดีขึ้น วันนี้ผมก็เลยได้กลับมาเป็นอาจารย์เพื่อได้ทดแทนโอกาสที่ผมเคยได้รับ
“ซึ่งจริงๆ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเรียนถึงขั้นปริญญาเอก เอาแค่ปริญญาตรีเป็นใบแรกให้แม่ก็ภูมิใจแล้วตอนนั้น ผมคิดตลอด จะมีปริญญาให้แม่ภูมิใจให้ได้ แต่ทว่าวันรับปริญญา ผมไม่มีเงินซื้อกล้องถ่ายรูปคู่กับแม่ ผมไม่มีภาพถ่ายกับแม่เลยสักใบ ไม่มีภาพประทับใจกับแม่ ผมต้องไปวิ่งเข้ากล้องเพื่อน ขอเข้าไปร่วมด้วยเพื่อจะมีภาพ วันรับ แต่รูปถ่ายกับแม่ไม่ได้เลย
“ก็ไม่เป็นไร…บอกกับตัวเอง” ดร.หนุ่มกล่าวพลางเว้นวรรค เฉกเช่นวันเวลานั้นที่แม้อะไรๆ ก็ไม่เอื้ออำนวยหมด
แต่คนมันจะสู้ จะทำดี สักวัน ต้องได้รับสิ่งที่ดี”ก็เรียนใหม่ ปริญญาตรีไม่ได้ถ่ายคู่กับแม่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรียนปริญญาโทอีกใบ เพื่อที่จะได้มีโอกาสถ่ายคู่กับแม่ แต่ช่วงที่ เรียน ป.โท ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นช่วงที่น้อง คนเล็กกำลังอยู่ในวัยเรียนพอดี รวมกับค่าส่งให้แม่ 3,000 บาท เงินเดือน 6,000 บาท ในการเป็นครูของเราทุกเดือน ก็ไม่สามารถเก็บให้มีค่ารถ ค่าที่พัก ในการเดินทางของครอบครัว ไม่อยากจะรบกวนเงินที่ส่งให้แม่ ก็เลยบอกแม่ไปว่าก็รับเหมือนๆ ปริญญาตรี คือเราไม่อยากให้แม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้มาตลอด ทุกวันเมื่อก่อนผมต้องวิ่งบอกแม่ให้หลบเจ้าหนี้ตลอด แม่ต้องไปซุกหลังบ้าน ก็บอกท่านไปอย่างนั้น แต่จริงๆ เราไม่มีเงินพอ
“ก็เรียนต่อปริญญาเอก ใบนี้สุดท้ายแล้วเราต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีโอกาสอีกแล้ว พอขอทุนได้ ก็ตั้งมั่นปณิธานว่าจะต้องเก็บเงินให้ได้ แม้ว่าครั้งนี้จะไปถึงประเทศญี่ปุ่น ก็อดทน ซึ่งมันทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้ว วันที่ผมอยู่บ้าน ที่แม่เข็นให้ทำงานบ้าน วันนั้นผมทำอะไรไม่เป็น ทำกับข้าว ล้างจาน ทุกอย่าง ไม่รู้ให้ทำทำไม แต่วันที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง ทำกับข้าวเอง เซฟเงินมากมาย ใครจะรู้ว่าหมูแพกหนึ่งทำกินได้เป็นอาทิตย์ แล้วผมก็มีเงินเหลือเก็บให้แม่มางานรับปริญญาแล้วก็มีเงินพอให้น้องมาด้วย”
แม่ยืนอยู่ตรงประตูทางออก แล้วเป็นคนแรกที่ส่งยิ้มให้แม่ผมมายืนขวางคนเพื่อให้ได้พบเป็นคนแรกทั้งหมดทั้งมวลมาจากบุคคลนี้เพียงผู้เดียวและเพื่อผู้เดียว เป็นภาพความในใจของดร.หนุ่มและชื่อเรียกขานตัวเองอีกในนามว่า “ด็อกเตอร์จากกองขยะ” อย่างไม่รู้สึกนึกอายใดๆ
“ผมวิ่งไปคุกเข่าต่อหน้า บอกแม่ว่า…แม่ครับ ถ้าไม่มีแม่คนนี้ ที่เฆี่ยนตีให้ผมกลับมาเป็นคนดี ถ้าไม่มีแม่คนนี้ที่เก็บขยะส่งให้ผม ได้เรียนหนังสือ ถ้าไม่มีแม่คนนี้ที่พูดคำสอนดีๆ ให้ผมตั้งใจเรียน ผมก็คงไม่มีโอกาสมาถึงวันนี้ ฉะนั้นใบปริญญาใบนี้ผมขอมอบให้ กับแม่
“แม่เป็นไอดอล เพราะเราเห็นความลำบากของแม่ ความ เหนื่อยยาก ความจนของเรา ความเลวร้ายที่เราเจอมันคือแรงผลักดันที่ดีของชีวิต ก็ต้องขอบคุณ ทุกคนที่เจอเชื่อว่าลำบากหมดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราต้องเอาความลำบากนั้นเป็นแรงผลักดันชีวิตให้ได้ ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ ขนาดชีวิตติดลบแบบผมยังทำได้
“ถ้าคุณไม่มีเงินคุณก็ต้องมีปัญญา แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีปัญญา ก็ต้องมีเงินและเอาเงินไปหาความรู้สร้างธุรกิจ และถ้าไม่มีทั้งสองชนิด คุณต้องมีแรงและใช้แรงในการไปต่อสู้ชีวิต แต่ถ้าหมดแรงต้องมี กำลังใจ
“ชีวิตต้องเดินต่อไป ผมก็เลยอยากจะส่งต่อโอกาสที่เราได้รับส่งต่อคนอื่น ตอนที่ขอทานผมไม่รู้ว่าผมขอใครมาบ้าง ฉะนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะคืนให้ใครคนนั้น แต่ทุกคนที่เคยให้ผมมามันเหมือนผมติดค้าง ผมเลยอยากจะทำอะไรคืนให้กับทุกๆ คนบ้าง” .