คอลัมน์ ทิศทางประเทศไทย: ร.9 กับเหตุการณ์พลังงาน

โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนพลังงาน
นับตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2559 จนถึงวันนี้ครบ 1 ปีแห่งวันเสด็จสวรรคต น้ำตาของพสกนิกรชาวไทยยังไม่เหือดหายจากการสูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง ไม่มีวันไหนที่พวกเราชาวไทยจะไม่คิดถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รัก “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์ยังสถิตอยู่ในหัวใจไทยตราบนิรันดร์
ในนามของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ผมขอเรียนให้ทราบว่า ที่ผ่านมา สนพ.ได้จดจำเหตุการณ์และน้อมนำพระราชดำรัสตลอดจนพระราชจริยวัตรและคำสอนของพระองค์ท่านเผยแพร่สู่สาธารณตลอดมา วันนี้ผมจะขอนำเสนอ 9 เหตุการณ์สำคัญ ด้านพลังงานที่พระองค์พระราชทานไว้ หรือหน่วยงานจัดสร้างถวายในวโรกาสต่างๆ ทั้ง 9 เรื่องดังกล่าว มีทั้งในเชิงวิศวกรรมและปรัชญาทางเศรษฐศาสตร์พลังงานที่เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทยมากว่า 5 ทศวรรษ ตามลำดับดังนี้
ลำดับที่ 1 วันที่ 17 พ.ค. 2507 เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานประกอบพิธีเปิดเขื่อนภูมิพล ซึ่งเป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ณ ขณะนั้น และถือเป็นโครงการที่เปิดศักราชของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานของไทย ริเริ่มการดำเนินการโดยกรมชลประทาน ก่อนที่จะโอนมารวมและก่อตั้งเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ในปัจจุบัน
ลำดับที่ 2 วันที่ 16 ธ.ค. 2511 เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานเปิดระบบสายส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงไฟฟ้าไทย-ลาว โดยร่วมกับเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ในปะรำพิธีกลางแม่น้ำโขงเพื่อเป็นการเชื่อมโยงไฟฟ้าระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรก นับจากนั้นไฟฟ้าระหว่างไทย-ลาว ก็ไหลไป-มาไม่มีหยุดไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเป็นเช่นใด
ลำดับที่ 3 วันที่ 18 เม.ย. 2528 เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานเปิด โรงแยกก๊าซธรรมชาติ จ.ระยอง ทรงนำประเทศไทยเข้าสู่ยุค “โชติช่วงชัชวาล” อย่างสมบูรณ์แบบ โรงแยกนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยฐานทรัพยากรพลังงาน
ลำดับที่ 4 ปี 2528-2537 โครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อเพลิงชีวภาพของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เริ่มต้นจากพระราชดำริว่าในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนน้ำมัน มีพระราชประสงค์ให้นำอ้อยมาผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยพระราชทานเงินทุนวิจัยเริ่มต้นเป็นจำนวน 925,500 บาท และต่อมามีพระราชกระแสรับสั่งให้นำ เชื้อเพลิงผสมใหม่นี้ (ซึ่งต่อมาราชบัณฑิตยสถานบัญญัติว่า “แกโซฮอล”) มาทดสอบ ในรถยนต์ของสำนักพระราชวัง ในพระราชวังสวนจิตรลดาฯ จนสำเร็จ ต่อมาราวปี 2547 รัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานจึงได้น้อมนำต้นแบบการทดลองนี้มาพัฒนาเป็นนโยบายส่งเสริมแกโซฮอล/เอทานอลจวบจนปัจจุบัน
ลำดับที่ 5 ปี 2550-2553 โครงการแปรรูปน้ำมันปาล์มให้เป็น ไบโอดีเซล : ราวช่วงปลายปี 2550 มีพระราชกระแสรับสั่งกับ พล.ร.อ. สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. ขณะนั้น ในการพัฒนาเรือตรวจการณ์และระบบเชื้อเพลิงชีวภาพในการแปรรูปน้ำมันปาล์มให้เป็นไบโอดีเซล ทำให้ ทร.เร่งดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จนสำเร็จในเวลาต่อมา และในคราวที่ ทร.กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ทางชลมารคเมื่อปี 2553 เพื่อเสด็จฯ ไปเยี่ยมพสกนิกรที่เกาะเกร็ด จ.ปทุมธานี พระองค์ท่านมีพระราชโองการฯ อมตะว่า “…ถ้าไม่ใช่ B100 ฉันไม่ไป…” แม้ว่าจะสั้นกระชับแต่แฝงไว้ถึงความมุ่งมั่นและพระวิสัยทัศน์ของพระองค์ที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพให้เป็นพลังงานหลักของประเทศให้จงได้
ลำดับที่ 6 ปี 2544 พระราชทานนาม “พื้นที่ปิโตรเลียมนวมินทร์” ครั้งนั้น บริษัท ปตท.สผ. ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานชื่อแหล่งปิโตรเลียม “บงกช” และโครงการ “อาทิตย์” ซึ่งจัดได้ว่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่พัฒนาโดยคนไทย และทั้งสองแหล่งก็เป็นแหล่งพลังงานหลักที่เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศจวบจนปัจจุบัน
ลำดับที่ 7 ปี 2552 มีพระราชดำริพร้อมพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ทดลองกังหันลมในพื้นที่ที่มีลมค่อนข้างต่ำ ณ ไร่ชั่งหัวมัน จ.เพชรบุรี โดยติดตั้งกังหันลมขนาด 5 kW จำนวน 20 ต้น ที่พัฒนาเป็นต้นแบบโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อเป็นต้นแบบให้คนไทยเห็นว่าพลังงานนั้นมีอยู่รอบตัว แต่การจะเก็บเกี่ยวมาใช้ได้นั้นต้องใช้สติปัญญาและมันสมองถึงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ เทคโนโลยีกังหันลมนี้ออกแบบและประดิษฐ์ขึ้นโดยมันสมองของคนไทย 100%
ลำดับที่ 8 และ 9 เป็นความทรงจำผ่านภาพยนตร์ชุด “หลอดยาสี พระทนต์” เผยแพร่เมื่อปี 2550 และ “ข้าวผัดอิ่มใจ” เผยแพร่เมื่อปี 2555 สนพ.ได้จัดทำโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้คนไทยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและจดจำพระราชจริยวัตรอันงดงามและเรียบง่ายมาเป็นแรงบันดาลใจในการ ดำเนินชีวิต อย่างประหยัด ผ่านเรื่องเล่าของผู้ที่ได้ถวายงานใกล้ชิดพระองค์ท่าน
น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหา ที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และโฆษกระทรวงพลังงาน

แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]