
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563
นฤมล ทับปาน
กรุงเทพธุรกิจ
เมื่อยางพาราอยู่ในช่วงขาลง ชาวสวนยางบ้านเนินสว่างจึงมองหานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างโอกาสท่ามกลางวิกฤตินี้
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปีนี้ เป็นปัจจัยให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคายางพาราใน รูปแบบใหม่ เป็นการเคลื่อนไหวขึ้นลงในกรอบแคบๆ บนฐานของ New Normal ซึ่งเป็นช่วงราคาใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม และยากแก่การที่จะมีราคากลับไปสูงขึ้นได้อีกเช่นในอดีต โดยคาดว่าการเคลื่อนไหวของราคายางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ของไทยตั้งแต่ปี 2563 อาจอยู่ในกรอบ 30-50 บาทต่อกิโลกรัม
ในกลุ่มผู้ปลูกและแปรรูป ‘ยางพารา’ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ต่างต้องมองหาลู่ทางใหม่ แก้ปัญหาการผลิตยางพาราที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก ซึ่งรัฐบาลก็ได้ออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ใช้ยางพาราภายในประเทศมากขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชนหรือจะเป็นการหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ใช้ยางพาราเป็นส่วนผสม นำไปสู่การดูดซับยางออกจากระบบและเกิดการขยายกำลังการผลิต การแปรรูปยาง ผลักดันราคายางให้สูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ และลดความผันผวน
นวัตกรรมเพื่อชุมชน
นวัตกรรมแปรรูปเพื่อผลิตสินค้าจาก ‘ยางพารา’ จึงเป็นทางออกของชาวสวนยางในภาวะที่ราคาน้ำยางและยางแผ่นยังผันผวน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ผลงานแปรรูปยางพารา ภายใต้แบรนด์Kaika ของ วิสาหกิจชุมชนบ้านเนินสว่าง อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ธุรกิจย่อมๆ ของกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่เชื่อในพลังการร่วมแรงร่วมใจเพื่อยกระดับยางพาราสู่การแข่งขันในตลาดโลก พวกเขามีฐานที่มั่นอยู่ในชุมชนหลังเขา แหล่งผลิตและแปรรูปยางพาราที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่ง โดยมี ณฐนนท์ เจริญรมย์ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้จัดการกองทุนสวนยางบ้านเนินสว่าง เป็นหัวเรือในการสรรหานวัตกรรมมาพัฒนาและสร้างมูลค่าให้กับยางพารา
การจับมือกันของคนในชุมชน นำไปสู่ทางออกในรูปแบบของ ‘วิสาหกิจชุมชน’ และเริ่มค้นหาความพิเศษของยางพาราพร้อมแปรรูปเป็นสินค้า อย่างเบาะรองนั่งสมาธิ เบาะรองนั่งเพื่อสุขภาพ หมอนอิง และที่นอนปิกนิก ซึ่งตอบโจทย์ตลาดในตอนนั้น แต่เมื่อโควิด-19 มาก็ดับฝันทุกสิ่งลง กิจกรรมงานวิปัสสนากรรมฐานต่างๆ ที่เคยเป็นลูกค้าประจำก็เป็นอันต้องพักไว้ก่อน นั่นทำให้การส่งออกชะงักและรายได้กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ก็หายวับไปกับตา
ทว่าในวิกฤติยังมีโอกาสเสมอ เมื่อ ‘ยางพารา’ ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นไอเทมป้องกันไวรัสในยุคโควิดอย่าง ‘หน้ากากผ้า’ ในชื่อแบรนด์ หน้ากากผ้าปลอดเชื้อ Filter ยางพารา ร่วมกับ บริษัท ไอแอมเวิร์ค จำกัด ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานจาก Nelson Labs. ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถกรองไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์
“ตอนนี้สมาชิกกว่าร้อยคนของวิสาหกิจชุมชนบ้านเนินสว่างก็ได้งานเย็บหน้ากาก และทำตัวฟิลเตอร์ยางพาราสำหรับหน้ากากผ้าปลอดเชื้อเป็นรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัวไปพลางๆ ซึ่งนอกจากนี้ยังส่งไปให้วิสาหกิจชุมชนที่อื่นได้มีรายได้จากการเย็บหน้ากากผ้าด้วย อย่าง ยะลา เพชรบูรณ์ ยโสธร ซึ่งเป็นคนตกงานที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ”
ด้วย ‘ยางพารา’ เป็นวัตถุดิบชั้นดีที่มาจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ และจุดเด่นของมันคือมีความยืดหยุ่นสูง และกระจายน้ำหนักได้ดี สินค้าทุกชิ้นที่ของณฐนนท์ จึงคิดภายใต้โจทย์ที่ว่า จะตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวันของลูกค้าได้อย่างไรบ้าง
ด้าน ปณิชตา ดีเหลือ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอแอมเวิร์ค จำกัด ที่จับมือกับวิสาหกิจชุมชนบ้านเนินสว่าง พลิกวิกฤติเป็นโอกาสพัฒนาของดีในมือให้มีมูลค่าเพิ่ม รับหน้าที่วางตลาดควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้าทุกชิ้น ซึ่งหมายถึงขั้นตอนในการตัดเย็บหน้ากากผ้าด้วย
“เนื่องจากเป็นงานแฮนด์เมด และเป็นเรื่องใหม่ทั้งกับเราและชุมชน ทำให้เกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในขั้นตอนการเย็บบ้าง บางคนก็ไม่ได้เย็บเก่งแต่ถ้าตั้งใจก็สามารถทำได้ จากงาน 1,000 ชิ้น ที่ไม่ผ่านราว 200 ชิ้น ก็จะค่อยๆ ลดลง ดังนั้นคนที่จะสามารถทำงานนี้ได้จึงต้องผ่านการทดสอบกันสักหน่อย เพื่อให้งานทุกชิ้นเพอร์เฟกต์ที่สุด”
นอกจากวัตถุดิบหลักอย่างยางพารา ยังมีวัตถุดิบอีกสองอย่างที่จะช่วยเสริมให้ประสิทธิภาพของนวัตกรรมหน้ากากผ้านั้นสมบูรณ์ นั่นคือ คาร์บอน จากกะลามะพร้าวเผาและ นาโน ซิงค์ ณฐนนท์ อธิบายว่า โดยปกติยางพาราจะต้องใช้ซิงค์เป็นส่วนประกอบในการแปรรูปอยู่แล้ว แต่ซิงค์ทั่วไปมีอนุภาคใหญ่ที่ป้องกันเพียงแบคทีเรีย ยับยั้งไวรัสที่ไม่ใช่โควิด-19 ดังนั้น ซิงค์ที่จะนำมาใช้เพื่อการกันไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะต้องมีอนุภาคที่เล็กมากๆ อย่าง ‘นาโน ซิงค์’ เพียง 20 นาโนเมตร ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั่นเอง
ประกอบกับวิทยานิพนธ์ของ เณศรา คงแก้ว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เรื่องการพัฒนาผ้ายับยั้งแบคทีเรียบนวัสดุสิ่งทอ เป็นข้อมูลชั้นดีที่เธอใช้ในนวัตกรรมนี้ โดยระบุไว้ว่า นอกจากการยับยั้งแบคทีเรียแล้ว อนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ยังสามารถต้านรังสีอัตราไวโอเลต หรือรังสียูวีได้อีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการต้านรังสียูวีระหว่างอนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ขนาด 20 นาโนเมตรกับซิงค์ออกไซด์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยการนำไปเคลือบบนวัสดุสิ่งทอ เพื่อช่วยในการยับยั้งแบคทีเรียและต้านรังสียูวี พบว่าอนุภาคนาโนซิงค์ที่ขนาดเล็กกว่า มีพื้นที่ผิวมาก สามารถเคลือบบนผ้าคอตตอนได้ดีกว่า จึงทำให้อนุภาคนาโนซิงค์มีประสิทธิภาพต้านรังสียูวีได้ดีกว่า ซึ่งมีรายงานวิจัยพบว่าอนุภาคนาโนซิงค์มีขนาดอยู่ระหว่าง 21-25 นาโนเมตร สามารถต้านรังสียูวีในช่วงความยาวคลื่น 290-400 นาโนเมตรได้ถึง 78 เปอร์เซ็นต์
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจคือ การทำความสะอาดตัวเองของอนุภาคนาโนซิงค์ เนื่องจากเมื่อได้รับแสงจะมีสมบัติเป็นสารกึ่งตัวนำ และเมื่อได้รับพลังงานจะสามารถกำจัดคราบสกปรกที่เป็นสารอินทรีย์ต่างๆ ได้ โดยการออกซิไดส์สารอินทรีย์ ทำให้สารอินทรีย์นั้นสลายตัวไป
“เมื่อส่งไปทดลองที่เนลสันแล็ป คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับพวกเราเช่นกันที่สามารถยับยั้งไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไวรัสเข้ามาชนนาโนซิงค์ ผนังของเยื้อหุ้มเซลล์ไวรัสจะโดนทำลายและตายในที่สุด ซึ่งนาโนซิงค์ตัวนี้ยังสามารถคืนชีพตัวเองได้ด้วย เมื่อโดนแดดก็จะสามารถสร้างเซลล์ใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ”
เส้นทางแปรรูป ‘ยางพารา’
กว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์สักชิ้น ยางพาราผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง ณฐนนท์เล่าว่า นอกจากจะแปรรูปแล้ว ที่นี่ยังส่งออกน้ำยางพาราให้กับโรงงานคู่ค้า ในแต่ละวันน้ำยางพาราจากสมาชิกร่วม 100 คน ที่รวบรวมได้ราวๆ 2-3 ตัน หรือประมาณ 1,000-2,000 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อก่อนจะซื้อขายกันกับกลุ่มสหกรณ์ยางพารา จังหวัดตราด แต่เนื่องด้วยระยะทางไกลเป็นอุปสรรคในการขนส่ง จึงจับมือกับโรงงานเกษตรการยาง อำเภอบ่อทอง จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกสหกรณ์บ่อทองเช่นกัน
“เราก็ได้เรียนรู้วิธีทำน้ำยางข้นจากเขา แล้วก็ซื้อน้ำยางข้นมาทดลองผลิตภัณฑ์ของเราเอง โดยหลักๆ จะซื้อจากสองที่คือ เกษตรการยางกับไทยรับเบอร์ในระยอง เหตุผลที่ต้องซื้อจากสองที่ก็เพราะว่าค่า MST มีไม่ถึง และไม่ตรงกับที่เราต้องการ ซึ่งของเราใช้ค่า MST ที่ 1,000-1,200 ซึ่งมีความสำคัญต่อการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์”
เมื่อได้น้ำยางพาราเสร็จสรรพ ก็ต้องมาเลือกส่วนผสมที่เป็นสารเคมี ซึ่งคอนเซปต์คือเลือกที่เป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด สามารถย่อยสลายเองได้หรือนำไปทำเป็นปุ๋ยใช้ประโยชน์ได้อีกต่อหนึ่ง อย่างเช่น นาโนซิงค์ที่เลือกใช้ก็เป็นอีโคเซอร์ ผงคาร์บอนก็ได้จากกะลามะพร้าวเผา และที่สำคัญคือตัวตีฟองให้ยางเกิดช่องอากาศเพื่อหายใจได้สะดวก โดยใช้สบู่ที่มีค่าความเข้มข้นต่ำสูตรเฉพาะของที่นี่ จากนั้นนำไปเทเป็นแผ่นยางบางๆ ขนาด 3 มิลลิเมตร เท่านี้ก็สามารถนำไปทำฟิลเตอร์สำหรับหน้ากากผ้าได้แล้ว ส่วนถ้าต้องการแปรรูปอื่นๆ ก็เพียงขึ้นรูปในพิมพ์ที่ออกแบบไว้
“ยางเป็นโมเลกุลที่จับตัวกันอย่างเหนียวแน่น การใช้สบู่ตีเข้าไปเหมือนสมัยที่เราเล่นบับเบิลตอนเด็กๆ ซึ่งเราใช้สารเคมีบางตัวให้ฟองนี้คงสภาพอยู่ในเนื้อยาง อย่างการตียางสำหรับทำหน้ากากครั้งหนึ่งใช้น้ำยาง 1.5 ลิตร จะใช้สบู่ตีให้ฟูจนได้ 18 ลิตร”
ถ้าพูดถึงการแปรรูปยาง คนจะมองว่าเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่วิสาหกิจชุมชนเล็กๆ แห่งนี้พยายามทำให้ง่ายที่สุด มองสิ่งที่ใกล้ตัวในชีวิตประจำวันซึ่งสามารถหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาทำได้ ด้วยเงินลงทุนเพียง 20,000 บาท ทว่าพวกเขามีความคิดที่จะพัฒนายางพาราให้ตอบโจทย์ตลาดและมีความสามารถในการส่งออกให้กว้างที่สุด
“เราไม่เน้นว่าเราขายเบาะรองนั่ง เราไม่เน้นว่าเราขายหน้ากากผ้า แต่เราขายยางพารา ทำยังไงก็ได้ให้นำยางออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ให้ชาวบ้านมีเงินจากการขายยาง เราคิดเสมอว่าการทำยางก็เปรียบเสมือนการทำวุ้นที่ไม่ว่าจะหล่อใส่พิมพ์แบบไหน มันก็จะออกมาในรูปแบบนั้น ถ้าไม่ได้รูปทรงที่ต้องการก็แค่แก้ไขส่วนที่บกพร่อง และเราไม่เหนื่อยที่จะต้องแปรรูปให้ตอบสนองต่อความต้องการตลาด”
ปัจจุบันหน้ากากผ้าที่ผลิตกันเป็นสินค้าที่ค่อนข้างลงตัวแล้ว เธอจึงหันไปพัฒนา ที่นอนยางพาราสำหรับผู้สูงวัยและผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นก้าวใหม่ในการผลิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยได้ทำการทดสอบกันมาแล้วสักพักหนึ่งที่หมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งมีสถานพักฟื้นผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่มีคนดูแล ทั้งหมดเกือบ 30 เตียง ณฐนนท์นำที่นอนไปให้ทดลอง 2 แบบด้วยกัน คือที่นอนยางพาราสูตรของเธอกับที่นอนเจล ปรากฏว่าเมื่อผู้ป่วยนอนที่นอนเจลแล้วรู้สึกผิวหนังจะบางลง ขณะที่เมื่อนอนที่นอนของเธอไม่ทำให้เกิดแผลกดทับและผิวหนังจะยังคงสภาพเดิม ซึ่งถ้าเทียบกันที่ราคาและความคุ้มค่าแล้ว เธอมั่นใจว่า สู้ที่นอนเจลที่ราคาสูงเกือบๆ 20,000 บาทได้แน่นอน โดยเธอตั้งราคาไว้ที่ประมาณ 9,500 บาท
“แม้เราเป็นเหมือนน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการ แต่ความตั้งใจของเรามีเยอะมากๆ อยากจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ พัฒนาสินค้าจากยางพาราให้หลากหลาย และจะพาสมาชิกให้รอดจากสภาวะวิกฤตินี้ไปให้ได้ เพราะเรามองทุกวิกฤติเป็นโอกาสเสมอ” ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเนินสว่าง ทิ้งท้าย
ท่ามกลางวิถีที่เปลี่ยนไป การเข้าใจ ยอมรับและปรับตัว เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายฝ่าวงล้อวิกฤตินี้ไปได้ โดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐ นับเป็นโจทย์ท้าทายในการประคับประคองราคายางพาราผ่านมาตรการต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือชาวสวนยางทั้งในระยะสั้น และระยะยาว