
เดลินิวส์ (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564
พงษ์พรรณ บุญเลิศ
สีนับเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของงานศิลปะมีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกให้ความสวยงามสื่อความหมาย และมีความเกี่ยวเนื่องกับการดำรงชีวิตหลายมิติ…
ในงานจิตรกรรมสีที่นำมาสร้างสรรค์แต่ละยุคสมัยมีเอกลักษณ์ มีคุณค่า ศาสตราจารย์ ดร.สมพร ธุรี คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ให้ความรู้เล่าความสำคัญสี พาสัมผัสความงามในจิตรกรรมว่า สีเป็นทัศนธาตุในงานจิตรกรรม เป็นส่วนประกอบสำคัญมานับแต่อดีตจวบปัจจุบัน โดยสีจะทำงานร่วมกันกับทัศนธาตุอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เส้น รูปร่าง รูปทรง น้ำหนัก ฯลฯ โดยที่มีความเป็นพิเศษที่สีแสดงให้เห็นคือ ความเป็นสี ความเป็นตัวตนของสีที่เกิดจากธรรมชาติ อย่างเช่น สีของต้นไม้ สีก้อนหิน ฯลฯ
ความเข้ม อ่อน ความสว่าง น้ำหนักของสี ในส่วนนี้ทำให้เกิดคุณค่าความงามที่ต่างกันไป มีผลต่อรูปทรง มิติของภาพ และอีกส่วนหนึ่ง ความจัดของสี ความสด ความบริสุทธิ์ของสีซึ่งทำหน้าที่ใกล้เคียงหรือเชื่อมโยงกับน้ำหนักสี ทำให้ภาพ รูปทรงหรือรูปร่างเกิดความรู้สึกได้จากจิตวิทยาของสี อย่างเช่น สีแดง สีที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกน่าสนใจ สีทอง ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ ศรัทธา มีความเป็นมงคล เป็นต้น
ส่วนการใช้สีจะเห็นถึง การใช้สีที่มีความตัดกัน สีกลมกลืน อย่างการใช้สีตัดกัน ใช้คู่สีตรงข้าม เพื่อให้ภาพมีความน่าสนใจ น่าติดตาม ดึงดูดความสนใจ หรือ ใช้สีกลมกลืน เพื่อให้เห็นบรรยากาศสงบ มีความนุ่มนวล กลมกลืน หรือการใช้สีข้างเคียง เพื่อให้ภาพมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ทั้งนี้ การใช้สีขึ้นอยู่กับเนื้อหา รูปทรงหรือแนวเรื่องนั้น ๆ ที่ต้องการสื่อ ซึ่งสีต่าง ๆ ที่นำมาใช้ล้วนแต่มีผลต่อผู้ชม ต่อการรับรู้ มีผลต่อรูปทรง เนื้อหาการจัดองค์ประกอบภาพ
“สีโทนร้อน สีโทนเย็น กลุ่มสีเหล่านี้ กลุ่มสีโทนร้อน สีแดง สีส้ม น้ำตาลแก่ ฯลฯ ที่ทำให้ภาพมีความน่าสนใจ การเลือกนำมาใช้จากที่กล่าวขึ้นอยู่กับเนื้อหา ความต้องการของช่างเขียน หรือศิลปินที่ต้องการนำไปใช้ อย่างเช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนนรกภูมิ เนื้อหาในลักษณะนี้ จะปรากฏกลุ่มสีโทนร้อน ขณะที่ โทนสีเย็น สีเขียว สีน้ำเงิน ฯลฯ เมื่อนำมาเขียน ให้ความรู้สึกร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ เขียนภาพวิวทิวทัศน์ บรรยากาศชายทะเล ใช้สีโทนเย็นสื่อสาร บอกเล่าเรื่อง”
ศ.ดร.สมพร ขยายความการใช้สียุคสมัยต่าง ๆ เพิ่มอีกว่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะบนผนังถ้ำจะเห็นการใช้สีที่บันทึก ถ่ายทอดสิ่งที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ จับปลา พิธีกรรม เขียนบันทึกตามประสบการณ์การรับรู้ สีที่ใช้ได้จากสีธรรมชาติ ใช้ยางไม้ หิน ใช้รากไม้ กิ่งไม้ ขนสัตว์ มือจุ่มสี เป็นการแสดงออก แสดงให้เห็นการใช้สีซึ่งมีไม่มาก สีดินแดง โทนสีแดงน้ำตาล ฯลฯ
การใช้สีมีพัฒนาการไปเป็นลำดับ แต่ละยุคสมัยทรงคุณค่า ผลงานภาพจิตรกรรมส่งต่อการเรียนรู้ อย่างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จะเห็นความหลากหลายของการใช้สี มีสีข้างเคียง ใช้คู่สีตรงข้าม อย่างเช่น ภาพจิตรกรรมที่ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ แสดงให้เห็นการใช้ คู่สีตรงข้ามสีแดง สีเขียว ใช้สีใกล้เคียงอย่างโดดเด่น หรือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดสุวรรณาราม ภาพเขียนพุทธประวัติ มีการใช้สีเอกรงค์ สีตรงข้าม ใช้สีสร้างมิติ งดงามวิจิตร
“แต่อย่างไรแล้วในเรื่องของความเป็นจริงของภาพจะยังมีไม่มาก จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นจะเป็นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 โดยช่าง เห็นผลงาน เห็นการวาดแบบตะวันตกจึงปรับเปลี่ยนการใช้สีเอกรงค์ และแม้จะมีสีเหมือนในช่วงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่จะมีการไล่น้ำหนักสี ดังเช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดบวรนิเวศวิหาร เห็นการใช้สีอ่อน เข้ม ใช้สีตรงข้ามและสีใกล้เคียง ทำให้ดูนุ่มนวล มีบรรยากาศของสีตามความเป็นจริง เพิ่มน้ำหนักของสีให้เข้มขึ้นซึ่งทำให้ภาพเกิดมิติลึกเข้าไป”
ศ.ดร.สมพร ให้ความรู้พาชมภาพจิตรกรรมทรงคุณค่าเพิ่มอีกว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดราชาธิวาสวิหาร เป็นอีกแหล่งเรียนรู้สำคัญอีกแห่งหนึ่ง การเขียนมีความเป็นจริง มีแสงเงาตกทอดระยะไกล ใกล้ ทุกส่วนมีความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง องค์ประกอบต่าง ๆ ด้วยสัดส่วนของสี แต่ทั้งนี้การใช้สีเอกรงค์ยังคงมีในกลุ่มโทนสีน้ำตาล สีเขียว สีตรงข้ามหรือแม้แต่คู่สีที่มีความใกล้เคียงกันก็ยังคงใช้อยู่
“การนำมาใช้ก็เพื่อให้มีสัดส่วนตามความเป็นจริง สร้างบรรยากาศของสี สร้างการรับรู้ แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาเย็น เวลาเช้าด้วยแสงเงา ที่ตกทอด จะเห็นได้ว่าสีมีความสำคัญในการสื่อสาร สร้างอารมณ์ ความรู้สึก บอกบันทึกเหตุการณ์ ทำงานร่วมกันกับรูปทรง เนื้อหา ที่ต้องการสื่อสาร ฯลฯ ซึ่งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่บอกเล่าความสำคัญของสี ถ่ายทอดการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6”
ส่วน ปัจจุบัน สีในงานจิตรกรรมมีความหลากหลาย มีการใช้สีให้เห็นมาก ทั้งสีกลมกลืน สีเอกรงค์ มีระยะมิติเข้ามาเกี่ยวข้อง แสงจะลดทอนกันไป ใช้สีเอกรงค์ สร้างบรรยากาศ อย่างเช่นที่ วัดปัญญานันทาราม วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ภาพจิตรกรรมภาพปรินิพพานจะเห็นถึงการใช้โทนสีต่าง ๆ สื่อความสงบ ความหมายต่าง ๆ โดยสีจะทำหน้าที่เหล่านี้ หรือ การใช้สีตรงข้าม เพื่อดึงดูดความสนใจ หรือนำเสนอเนื้อหาที่ต้องการเน้น หรือการใช้สีกลมกลืน ก็เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ใช้โทนสีที่หลากหลายขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการถ่ายทอด แต่เน้นความเป็นจริงของภาพ ทั้งแสดงให้เห็นถึงมิติที่สี่ สร้างการรับรู้ สร้างการมีส่วนร่วม ให้กับผู้ชมโดยเฉพาะการถ่ายภาพ โดยสีมีส่วนช่วยให้เกิดการรับรู้ เรียนรู้ สีสื่อความรู้สึก สร้างความสนใจให้กับภาพจิตรกรรม เป็นอีกความโดดเด่นของการใช้สี ในปัจจุบัน
คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ให้มุมมองใน เรื่องสีในงานจิตรกรรมเพิ่มอีกว่า การศึกษาการใช้สีของช่างโบราณ หรือการทำงานศิลปะของศิลปินปัจจุบัน มีหลายมิติที่น่าศึกษา องค์ความรู้ การใช้ สีจากโบราณยังส่งผลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะ สร้างเอกลักษณ์ให้กับผลงาน
นอกเหนือจากความงาม สียังสื่อบุคลิก บ่งบอกลักษณะ อย่าง สีผิวภาพเทวดาจะออกไปในโทนขาว นวล ต่างไปจากสีของคนทั่วไปจะเข้ม น้ำตาลเล็ก ๆ นอกจากนี้สียังใช้สื่อสาร บอกความรู้สึกภายใน โดยสีแสดงออกได้อย่างชัดเจน สีในงานจิตรกรรมยังมีอีกหลายมิติที่น่าศึกษา ศ.ดร.สมพร ให้มุมมองทิ้งท้ายอีกว่า จากที่กล่าวการใช้สีมี
เทคนิค รายละเอียด แต่ละยุคสมัยมีความโดดเด่น อย่างยุคแรกใช้สี ไม่มาก ใช้สีจากธรรมชาติ สมัยอยุธยา สีในงานจิตรกรรมใช้สีน้อย จะเน้นการใช้เส้น การตัดเส้นทำให้เกิดขอบเขตของรูปร่างชัดเจนขึ้น ทั้งสร้างอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลาง จากที่กล่าวสีสื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึก สื่อความหมาย มีบทบาทเด่นชัดด้วยตัวของสีเอง อีกทั้งปัจจุบันยังมีความหลากหลายของสีสัน และการแสดงออก สีจากจิตรกรรมไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด หากผู้ชมมีความเข้าใจการใช้สี ภูมิปัญญาในเรื่องสีก็จะได้รับรู้และเห็นคุณค่างานแต่ละยุคสมัย
ทั้งยังช่วยให้ใช้สีได้โดดเด่น สื่อความหมาย ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น.
“สีต่าง ๆ ที่นามาใช้มีผลต่อการรับรู้”