
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2564
ชุลีพร อร่ามเนตร
qualitylife4444@gmail.com
“โควิด-19” ไม่ได้เพียงสร้าง ผลกระทบให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ใน บางธุรกิจบางอุตสาหกรรมก็กลายเป็น โอกาสอย่าง “ตลาดสมุนไพร การแพทย์ แผนไทย” ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดพบว่าได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ทุกคนหันมาให้ความสำคัญสุขภาพ ดูแลตนเองตามแบบฉบับแพทย์ แผนไทย
กรุงเทพธุรกิจ “ตลาดสมุนไพร” มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)เปิดเผยว่าจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และมุ่งเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสมุนไพรไทยเติบโตทุกปี ถึงปีละ 10% และหลักจากประกาศใช้แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ.2560-2564 ทำให้อัตราการเติบโตมากกว่าจีนที่เติบโตเฉลี่ย 5.06% ญี่ปุ่น 0.85% และเกาหลีใต้ 5.43% ขณะที่ในตลาดโลกพบว่ามีมูลค่าการบริโภคสมุนไพรมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
ประเทศไทยมีการส่งออก “สมุนไพรไทย” อยู่ในหลักแสนล้านบาท แบ่งเป็นส่งออกกลุ่มอาหารเสริมกว่า 80,000 ล้านบาท กลุ่มสปาและผลิตภัณฑ์มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท และกลุ่มยาแผนโบราณตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท
ด้วยความต้องการ “สมุนไพร” จำนวนมากขึ้น อีกทั้งภาครัฐมีนโยบายในการส่งเสริม เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน ทำให้ “ชุมชน บ้านวังส้มซ่า จ.พิษณุโลก” ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนให้เป็นชุนชนน่าเที่ยวตามวิถีชุมชน รวมถึงยกระดับผลิตภัณฑ์สินค้าจากพืชสมุนไพร พืชท้องถิ่นของตนเองให้เป็นที่รู้จักแก่ทุกคน
ดร.ไฉน น้อยแสง หัวหน้าทีมวิจัยพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการส่งเสริม สุขภาพฯ เล่าว่า ทำงานวิจัยร่วมกับวิสาหกิจชุมชน ชาวบ้านวังส้มซ่า มาตั้งแต่ปี 2554 ถ่ายทอดกระบวนการวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การทำสปาให้แก่ ชาวบ้าน รวมพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ จนทำให้ตอนนี้แม้เกิดสถานการณ์โควิด แต่ชาวบ้านสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง มีอาชีพ มีรายได้
ตามนโยบาย ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดี ที่สนับสนุนให้อาจารย์ทุกคนทำงานวิจัยสู่นวัตกรรมเพื่อพัฒนาชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ผ่านการบริการด้านวิชาการ ฉะนั้น การทำงานวิจัยของ มทร.ธัญบุรี จะเป็นการทำงานวิจัยตามโจทย์ที่ชุมชนกำหนด ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยพวกเขามีอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
ดร.ไฉน อธิบายว่า การจะยกระดับสมุนไพร พืชท้องถิ่นแต่ละชุมชนให้ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าได้ ต้องมีการเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ นั่นคือ ภาคเกษตรกร ภาคการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ โดยมีภาครัฐ เป็นผู้สนับสนุน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสมุนไพรไทย พืชท้องถิ่นไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ
“คุณครูเผอิญ พงษ์สีชมพู” ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้าน ส้มซ่า จ.พิษณุโลก เล่าว่าชุมชนบ้านวังส้มซ่า อยากให้มีการนำส้มซ่ามาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ขณะนั้นส้มซ่าเหลืออยู่เพียงต้นเดียว หากไม่มีการนำส้มซ่า มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจก็จะไม่มีใครอยากปลูกต้นนี้ จึงได้ขอให้ทาง อ.ไฉน มทร.ธัญบุรี เข้ามาช่วยศึกษาวิจัยสกัดจากต้นส้มซ่ามาใช้ทำผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ จนเกิดเป็นสมุนไพรจากส้มซ่า ส้มซ่าลิปบาล์ม แชมพู-ครีมนวดผมจากส้มซ่า และโลชั่นจากส้มซ่า รวมถึงมีการขยายพันธุ์ส้มซ่าจนตอนนี้มีต้นส้มซ่าในพื้นที่ 400-500 ต้น
“ส้มซ่า” เป็นพืชที่ใช้ได้ทั้งใบ และผล นำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ได้มากมาย ซึ่งวิสาหกิจชุนชนบ้านวังส้มซ่าจะรับซื้อทั้งใบ และผล ทำให้ชาวบ้านมองเห็นคุณค่า มองเห็นตลาด และอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาส้มซ่า ศึกษาวิจัยเรื่องนี้
หลังจากที่ชาวบ้านให้ความสนใจปลูกส้มซ่ามากขึ้น วิสาหกิจชุมชนได้ร่วมกับทีมวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะนำมาเป็นกลิ่นอโรมา นำมาใช้นวดหน้า สปาผิว และทำเป็นอาหาร เครื่องดื่มน้ำส้มซ่า ชาจากส้มซ่า รวมถึงปรับชุมชนให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับส้ม.ซ่า ผ่านเรื่องเล่า ต่างๆ ในชุนชน ขณะเดียวกันเมื่อมีงานวิจัยเข้ามารองรับก็สร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนในชุมชนมากขึ้น
“ทีมนักวิจัยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการยกระดับ พัฒนาชุมชน ท้องถิ่น ทำความเข้าใจกับผู้นำในชุมชน ชาวบ้าน ทำให้พวกเขามองเห็นคุณค่า ประโยชน์ของพืชสมุนไพร พืชท้องถิ่น และดึงจุดเด่นของชุมชนออกมา ยิ่งตอนนี้ ทำชุมชนบ้านวังส้มซ่า เป็นชุมชนท่องเที่ยว นวัตวิถีบ้านวังส้มซ่า ที่ใช้งานวิจัยขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ สร้างมูลค่าให้แก่พืช ประจำท้องถิ่น และช่วยสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน ก็ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่างานวิจัย ทีมวิจัยช่วยตอบโจทย์ แก้ปัญหาให้แก่ชุมชนได้อย่างแท้จริง” ครูเผอิญ เล่า
ทั้งนี้ การจะการยกระดับสมุนไพร พืชท้องถิ่นแต่ละชุมชนให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าได้ ต้องมีการเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อร่วมกัน ขับเคลื่อนพืชท้องถิ่นไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงควรจะมีการสนับสนุนงบประมาณด้านวิจัยให้มากขึ้น เพื่อจะนำไปขับเคลื่อนยกระดับชุมชนไปพร้อมๆกัน อีกทางหนึ่งด้วย
ยกสมุนไพร พืชท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ ต้องเชื่อมโยงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ดร.ไฉน น้อยแสง