‘LE Financing’นวัตกรรมเช็คสุขภาพการเงินธุรกิจชุมชน

แนวหน้า ฉบับวันที่ 14 พ.ย. 2564
นายบัณฑิต อินณวงศ์ หัวหน้าแผนงานการพัฒนาธุรกิจชุมชน หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก บพท.กับคณาจารย์และคณะนักวิจัย จาก 20 มหาวิทยาลัย ได้เข้าสำรวจข้อมูลธุรกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 630 แห่ง ระหว่างวันที่ 1-15 ก.พ. 2564 และพบว่าธุรกิจกว่าร้อยละ 61.6 มีรายได้ลดลง

ขณะที่ธุรกิจ ร้อยละ 42.3 ต้องลดรายจ่าย และธุรกิจ ร้อยละ 46.6 เผชิญปัญหาต้นทุนในการดำเนินกิจการ ส่วนธุรกิจ ร้อยละ 36.5 เผชิญกับความเสี่ยงในการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า มีธุรกิจเอสเอ็มอีในชุมชนจำนวนไม่น้อยที่เสี่ยงจะต้องปิดกิจการเพราะปัญหาสภาพคล่องไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่คาดว่าจะประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ในช่วงเวลา 6-7.5 เดือนเท่านั้นซึ่งจะส่งผล กระทบอย่างแรงต่อการจ้างงานงานในท้องถิ่น

ซึ่งในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ปัญหาอุปสรรคสำคัญที่สุดของธุรกิจชุมชน คือการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และขาดความรู้ในการจัดการทางการเงิน เพื่อดำเนินธุรกิจ ดังนั้นทีมวิจัยจึงสร้างเครื่องมือประเมินสุขภาพทางการเงินของธุรกิจ ในรูปแบบ แอปพลิเคชั่น “LE Financing” สำหรับใช้เป็นเครื่องมือประเมินสุขภาพทางการเงินของธุรกิจชุมชนได้ทั่วประเทศ โดยให้ผู้ประกอบการ กรอกข้อมูลผ่านระบบและตอบคำถามที่มีการออกแบบไว้

“มีการประเมินสัดส่วนทางการเงินใน 4 ส่วนที่เกี่ยวข้อง 4 ด้าน ได้แก่ รายได้ กำไร สภาพคล่อง และภาระหนี้ของธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญที่ช่วยให้มองเห็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง กระตุ้นความต้องการแก้ไข จากนั้นนักวิจัยจะเข้าไปให้คำแนะนำ ในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจชุมชนทำให้เห็นความสำคัญของการเริ่มจากส่วนที่ชุมชนสามารถแก้ไขได้ก่อนในลำดับแรกคือเรื่องของรายได้และสภาพคล่อง โดยให้มีการบันทึกแผนการเงินของธุรกิจผ่านแอปพลิเคชั่น LE Financing” นายบัณฑิต กล่าว
นายบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า จากการประเมินสุขภาพทางการเงิน ของธุรกิจ ในระยะเวลาประมาณ 10 วัน พบว่าสภาพคล่องของภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้น จำนวนของธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ขยับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47 มาอยู่ที่ร้อยละ 65 และจำนวนธุรกิจชุมชนที่ประสบปัญหาในระดับวิกฤตลดลงจากร้อยละ 39 มาอยู่ที่ร้อยละ 17 และเมื่อทำโครงการต่อเนื่องพบว่าสัดส่วนของธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นเพิ่มเป็นร้อยละ 89 ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดำเนินงานต่อเนื่องจนถึงวันที่ 45 พบว่าธุรกิจชุมชนที่อยู่ในระดับวิกฤตลดลงเหลือเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น

สำหรับปัจจัยที่เป็นกุญแจสำคัญ (Key Success Factors) ในความสำเร็จของผู้ประกอบการในท้องถิ่น มี 3 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ 1.การมีสุขภาพการเงินที่ดี คือมีสภาพคล่องสูงพอที่จะดำเนินธุรกิจได้ มีหนี้สินในการดำเนินงานไม่มากจนกระทบต่อเงินหมุนเวียน 2.มีความสามารถในการประกอบการอย่างต่อเนื่อง และ 3.มีความสามารถในการเลือกทำกำไรที่ดี

โดยการดำเนินการกิจการในชุมชนอาจมีสินค้าที่มีความหลากหลาย ชุมชนต้องสามารถเลือกจำหน่ายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และเป็นที่ต้องการของตลาด การวิจัยนี้เกิดผลสำเร็จที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนกระบวนความคิดผ่านการวิจัยแบบมีส่วนร่วมระหว่างนักวิชาการ กับผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนในท้องถิ่น ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดและกระบวนการทำงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ด้าน นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2564 บพท.ได้ประสานความร่วมมือกับ 20 มหาวิทยาลัย ในการใช้องค์ความรู้ตลอดจนทักษะด้านการวิจัย เข้าไปผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นครอบคลุม 73 จังหวัดทั่วประเทศ

โดยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนระเบิดปัญหาอุปสรรค และความต้องการของตัวเองออกมา เพื่อร่วมกันแสวงหาทางแก้ไข ด้วยการสร้างนวัตกรรมความรู้ใหม่ ที่ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ปัญหา และสามารถหาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับธุรกิจของตัวเอง สำหรับเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ธุรกิจชุมชนในท้องถิ่นอย่างได้ผล โดยผ่านแพลตฟอร์มแผนงานการพัฒนาธุรกิจชุมชน (Local Enterprise-LE)

สำหรับ 20 มหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือกับ บพท.ในการสร้างภูมิคุ้มกันและเสริมความเข้มแข็งแก่ธุรกิจชุมชน เพื่อก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณมงคล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยฟาฏอนี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]