ในหลวง กับการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ และดาราศาสตร์ไทย

ด้วยพระอัจฉริยภาพและให้ความสำคัญด้านวิศวกรรมศาสตร์และดาราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โครงการออกแบบสร้างกล้องดูดาว ROTAR (โรตาร์) 1 และ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หนึ่งในโครงการตามแนวทางพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยว่า โครงการออกแบบและสร้างกล้องดูดาว ROTAR (โรตาร์) 1 และ 2 ตามแนวทางพระราชปรารภ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เริ่มต้นจากโครงงานของนักศึกษาปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2544 โดยมี ผศ.มนตรี น่วมจิตร์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน และมี นายไกรสีห์ เพ็ชรพรประภาส อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย โดยนายไกรสีห์ เพ็ชรพรประภาส ซึ่งขณะนั้นเป็นวิศวกรที่ปรึกษาออกแบบลิฟต์ให้สำนักพระราชวังอยู่ด้วย เสนอให้ออกแบบและสร้างกล้องดูดาวขนาดใหญ่
การออกแบบเริ่มจากแบบสเกตช์ที่อาจารย์ไกรสีห์เคยเห็นมาจากหอดูดาวทรีบัวในประเทศเยอรมนี เป็นหอดูดาวเอกชนที่ชาวบ้านเมืองนั้นทำกันเอง นักศึกษานำแบบสเกตช์ไปเขียนแบบประกอบและแยกชิ้นส่วน เพื่อนำไปผลิต ตอนสร้างชิ้นส่วนกล้อง ความที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงลองผิดลองถูก ทำแล้วกล้องหมุนไม่ได้ความเร็วท้องฟ้า จึงตามดาวไม่ได้ เพราะคำนวณเฟืองผิด อีกทั้งลูกตุ้มถ่วงจะตีฐานกล้องอยู่ตลอด ต้องแก้แบบกันหลายรอบ เวลาก็กระชั้นเพราะนักศึกษาต้องทำโครงงานให้เสร็จจึงจะสำเร็จการศึกษาได้ ตอนนั้นเกือบจะลดขนาดโครงการจากกล้องดูดาวอัตโนมัติ เป็นกล้อง ดูดาวมือโยกแล้ว แต่ ผศ.มนตรีไม่ยอม บอกว่าทำแล้วต้องทำให้ได้ นักศึกษารุ่นนี้ทำไม่เสร็จก็ให้สอบโครงงานได้ จะขอคณบดีให้ แล้วให้นักศึกษารุ่นต่อไปทำต่อ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในปีเดียว
นายไกรสีห์ เพ็ชรพรประภาส เปิดเผยว่า ได้นำปัญหาโครงงานไปปรึกษาคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง ความที่กล้องดูดาวใหญ่และหนัก ไม่สามารถยกกล้องไปให้ดูได้ เพราะกล้องหนัก 800 กิโลกรัม จึงนำรูปภาพกล้องที่มีคนยืนอยู่ข้างๆ ไปให้ดู ประโยคแรกที่คุณขวัญแก้วพูดคือ “อาจารย์ทำกล้องขนาดนี้ต้องถวายพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดดาราศาสตร์ ท่านต้องดีพระทัย” จึงได้นำเรื่องกลับมาเล่าให้ทีมงานฟัง เมื่อทุกคนได้รับฟังเรื่องจึงมีกำลังใจ ที่ต้องทำโครงงานให้เสร็จ ซึ่งใช้เวลาทำ 2 ปี กล้อง ROTAR 1 จึงเริ่มทดลอง คืนแรกที่คลองหก ส่องดวงจันทร์ เห็นหลุมอุกกาบาตบนผิวดวงจันทร์คมชัดทีมงานดีใจมาก
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2545-2547 ในระหว่างทำโครงงาน 2 ปี ระหว่างนั้นนักศึกษาต้องเรียนปกติ นักศึกษาหนึ่งคนในทีมงานนี้มีผลการเรียนต่ำน่าเป็นห่วงก็ต้องประคองกันไป (สุดท้ายสำเร็จการศึกษาทุกคน) ในการทำงานกลางวันเป็นนักศึกษาปกติ ตอนดึกเป็นช่างทำกล้อง ต้องเข้าโรงฝึกงานตอนเย็น ทำกันถึงตีสองเป็นปกติ ไม่รู้เอาพลังกันมาจากไหน กล้องดูดาวขนาด 600 มม. ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขณะนั้น หนัก 800 กก. เวลาเคลื่อนย้ายต้องใช้รถเครน วัสดุเป็นของไทยเกือบทั้งหมด ในโรงฝึกงานของราชมงคลมีเครื่องจักรครบ กัดเฟืองยังทำกันเอง มีแต่เลนส์ที่สั่งผลิตจากอเมริกา และมอเตอร์ความละเอียดสูงซื้อมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าถวาย ความก้าวหน้าโครงการ ที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เมื่อทอดพระเนตรโมเดลแล้วทรงมีพระราชปรารภทันทีว่า “กล้องจะหัวคะมำ” ทรงมีรับสั่งว่าพระองค์ท่านเคยทำแบบนี้แล้วที่ดาดฟ้าพระตำหนักเปี่ยมสุข โดยใช้ขาตั้งกล้องแบบ 3 ขาธรรมดา แล้วยกขาหนึ่งขึ้นโดยใช้ก้อนอิฐรอง ให้ได้มุมประมาณเท่ากับละติจูดของ อ.หัวหิน ทรงเคยถ่ายรูปดาวเสาร์ด้วยกล้องฟิล์มและเลนส์ระยะไกลธรรมดา แต่กว่าจะถ่ายได้ทรงปวดหลังมาก เพราะกล้องหัวจะคะมำตลอด รับสั่งว่าตำแหน่งประเทศไทยอยู่ละติจูดต่ำเพียงสิบกว่าองศา ใช้ฐานกล้องแบบอิเควตอเรียลไม่ได้ ต้องใช้แบบบริติช ซึ่งเมืองไทยยังไม่เคยมี ให้ทีมงานออกแบบมาถวาย
ซึ่งในระหว่างที่ถวายงานอยู่ 45 นาที ทีมงานสงสัยว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงรู้เรื่องการออกแบบกล้องดูดาวได้อย่างไร แต่ไม่มีใครกล้าถาม พระองค์คงจะทรงรู้ว่าทีมงานมีความสงสัยอยู่ จึงรับสั่งว่า “ตอนเป็นเด็กฉันอยากเป็นนักดาราศาสตร์ แต่ต่อมาจำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ” ทีมงานจึงได้น้อมนำพระราชปรารภเรื่องฐานกล้องไปศึกษาต่อ พบว่าฐานกล้องแบบบริติช หรืออิงลิช อิเควตอเรียลไม่มีใครใช้แล้ว เพราะประเทศที่อยู่ละติจูดสูงอย่างอเมริกา ยุโรป เขาใช้เยอรมันอิเควตอเรียลได้ หรือถ้าของใหม่เขาจะออกแบบเป็นอัลตาซิมุตกัน (ช่วงหนึ่งที่ถวายงาน พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าอัลตาซิมุตก็ใช้ในประเทศไทยไม่ได้ เพราะที่จุดซีนิทจะเกิดการงัดกันของแกนสองแกน) เดิมทีสมัยที่อังกฤษมีอาณานิคมอยู่ประเทศแถบละติจูดต่ำ เมื่อสร้างกล้องดูดาวจึงต้องใช้แบบบริติชเท่านั้น เมื่อหมดยุคอาณานิคมจึงไม่มีการพัฒนากล้องดูดาวแบบบริติช กล้องดูดาวแบบบริติชจึงหาของจริงดูยาก จะมีก็แต่รูปภาพ แต่ทีมงานอยากเห็นของจริง
โดยตนเองได้สอบถาม คุณไมเคิล บาร์เบอร์ เพื่อนชาวอเมริกาที่เป็นนักถ่ายภาพดาวระดับแนวหน้าคนหนึ่ง ลองสืบดูว่าที่อเมริกามีกล้องแบบบริติชแท้ๆ ให้ดูไหม พบว่ามีอยู่ที่หอดูดาวโลเวล รัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงเดินทางไปดู ไปถึงหอดูดาวโลเวลแล้วหาฐานกล้องแบบบริติชไม่พบ จึงถามคนดูแล เขาบอกว่าที่นี่มี แต่ไม่ใช้นานแล้ว อยู่อีกหอข้างๆ ที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เห็นแล้วจึงขอถ่ายภาพ แจ้งเขาว่าจะไปทำถวายพระเจ้าแผ่นดินไทย ผู้ดูแลดีใจ ให้ถ่ายรูปและวัดขนาดแกนตามสะดวก กล้องตัวนี้เป็นกล้องที่ คุณไคลด์ ทอมบาวห์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาที่ค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี ค.ศ.1930
การดำเนินงานโครงการ ROTAR 2 ใช้เวลาทำ 2 ปี แม้จะมีประสบการณ์จากโครงการเดิม แต่ระบบซับซ้อนมากขึ้นทั้งกลไกขับแกนและเลนส์ เลนส์กล้องเป็นแบบริชชี่ เครเตียน ซึ่งดีกว่าแบบนิวโตเนียนในโครงการเดิมมาก ทางทีมงานทำเลนส์เองไม่ได้เช็กราคาแล้ว 5 ล้านกว่าบาท เกินงบไปมาก จึงปรึกษาเพื่อนชาวเยอรมัน เขาให้ไปหาที่แวร์เฮาส์อุปกรณ์ใช้แล้วที่เมืองซอลต์เลคซิตี้ รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นี่ไม่สามารถติดต่อเขาได้ ต้องไปเคาะประตูเท่านั้น ไปรอบแรกเขาบอกว่าสเปกนี้ไม่มี แต่จะหาให้ อีก 3 เดือนเขาแจ้งมาว่ามีแล้ว แกะมาจากกล้องของกองทัพอากาศที่ปลดระวาง ต้องตัดสินใจเร็ว มีคนต้องการมาก เพราะเป็นเลนส์ริชชี่ขนาด 500 มม. ที่มีความหนาถึง 4 นิ้ว แถมเนื้อเลนส์เป็นเซรามิก สภาพดีมาก ราคาหนึ่งล้านบาท จึงเดินทางไปดูอีกรอบ แล้วตกลงซื้อทันที กล้อง ROTAR 2 เสร็จตามกำหนด ทดสอบที่คลองหก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 กล้องหมุนอัตโนมัติตามดาวได้ห้านาที การปรับละเอียดสามารถทำได้เมื่อติดตั้งกล้องในตำแหน่งถาวรแล้ว ทีมงานคาดว่าเมื่อติดตั้งถาวร กล้องน่าจะตามดาวได้เกินครึ่งชั่วโมง
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯให้คณะทำงาน นำโดย รศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ (อธิการบดีในสมัยนั้น) เข้าเฝ้าฯถวายกล้องดูดาว ROTAR 2 และมีพระราชกระแสรับสั่งว่า “กล้องเสร็จแล้ว” นำความปลาบปลื้มให้ทีมงานอย่างหาที่สุดมิได้ ทีมงานได้รู้ซึ้งถึงคำว่า “หาที่สุดมิได้” ด้วยประสบการณ์ตรงครั้งนี้นี่เอง และมีรับสั่งว่าให้นำกล้อง ROTAR 2 ไปติดตั้งที่ดาดฟ้าโรงเรียนวังไกลกังวล ส่วนกล้อง ROTAR 1 ให้ติดตั้งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
โดย รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวต่ออีกว่า วันที่ 25 ตุลาคม 2555 สร้างความปลาบปลื้มมายังชาว มทร.ธัญบุรี เป็นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามหอดูดวงอาทิตย์ให้กับมหาวิทยาลัย โดยใช้นามว่า “หอสุริยทัศน์ราชมงคล” ทั้งยังทรงพระราชทานความหมายว่า “หอเป็นที่ดูดวงอาทิตย์อันเป็นศรีมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งหอดูดวงอาทิตย์แห่งนี้เป็นหอดูพระอาทิตย์คู่กับหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนวังไกลกังวล
“นับเป็นบุญของชาวมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีที่ได้ถวายงานสำคัญงานนี้ และได้สัมผัสถึงพระอัฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้วยประสบการณ์ตรง” รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดี กล่าวทิ้งท้าย
มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559
c-161031038082-1

c-161031038082-2

c-161031038082-3

c-161031038082-4
c-161031020059-1

c-161031020059-2

c-161031020059-3

c-161031020059-4

แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]