ได้เวลาแล้วคราฟต์

กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 07 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
อรรถภูมิ อองกุลนะ
ถึงเวลาถกกติกาคราฟต์เบียร์เสรีภาพในกติกาที่เราคู่ควร?
พลันที่บัณฑิตหนุ่มนิติศาสตร์ ถูกจับ เรื่องคราฟต์เบียร์ก็กลายเป็นประเด็นดัง ถึงเช่นนั้น ก็ยังเดาไม่ออกอยู่ดีว่า บทสรุปจะเป็นอย่างไร มีเพียงแค่ความคาใจของ ข้อกฎหมายที่ยังคู่ขนานกับความต้องการของผู้บริโภค อันที่จริงคราฟต์เบียร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ คนวงการคราฟต์เบียร์เคลื่อนไหวกันมา นานแล้ว มีการคิดค้นสูตรใหม่ๆ สอนทำ จัดประกวด และสร้างสังคมของคนชอบ คราฟต์เบียร์มาตลอดช่วง 2-3 ปีหลังเกิดแบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นมาไม่น้อย มีทั้งที่เป็นดาวรุ่งน่าจับตา และดาว (ยัง) ไม่รุ่ง ซึ่งต้องพัฒนาอีกไกล ความเบ่งบานของเครื่องดื่มที่ว่านี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรสชาติ และหาความแปลกใหม่ของการดื่ม แต่ “งานคราฟต์” (Craft) นิยามได้ถึงการประดิษฐ์ด้วยมืออย่างพิถีพิถัน เป็นไลฟ์สไตล์ และวิถีทางเลือกของคนอยากปลดแอกระบบทุนใหญ่ ซึ่งที่สุดแล้วหากสิ่งที่ได้ลิ้มลองยังไม่ดีพอ พวกเขาก็ต้องน้อมรับผลการตัดสินใจของผู้บริโภค กับวงการคราฟต์เบียร์ไทยก็เช่นกัน
ถึงวันนี้ค่าปรับและการรอลงอาญาของนักทำเบียร์หนุ่มไม่ต่างอะไรกับการเป่านกหวีดเรียกกระแสให้คนทั่วไปมาสนใจเรื่องคราฟต์เบียร์ และมองกันว่านี่คือโอกาสดีที่การแก้ไขกฎหมายอย่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่องวิธีการ บริหารงานสุรา พ.ศ. 2543 ซึ่งถูกมองว่า เก่า ล้าหลัง เอื้อต่ออุตสาหกรรมใหญ่มีเค้าโครงความเป็นจริง
ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นักวิชาการด้านการผลิตเครื่องดื่มมีดีกรี กล่าวว่า นี่กำลังเป็นช่วงเวลาสำคัญของกลุ่มคนทำคราฟท์เบียร์ที่จะเรียกร้องให้มีการเพิ่มเติมกฎกระทรวง จากของเดิมซึ่งเขียนล็อกไว้ในประเด็นสำคัญที่ว่า 1.การจัดตั้งบริษัทเพื่อผลิตต้องมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทรวมไปถึงปริมาณขั้นต่ำในการผลิตเบียร์ต่อปีไม่น้อยกว่า 10 ล้านลิตร 2.หากเป็นโรงงานเบียร์ขนาดเล็กประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต (Brewpub)จะต้องมีปริมาณการผลิตไม่ต่ำกว่า 1 แสนลิตรต่อปี ทั้งนี้ชัดเจนว่าทั้ง 2 ประเด็นใหญ่ๆ เปิดโอกาสให้รายย่อยเข้ามาแข่งขันได้ยาก “ช่วงที่สังคมกำลังสนใจเรื่องคราฟต์เบียร์ และเป็นโอกาสดีที่กลุ่มคราฟต์เบียร์ จะข้อเพิ่มเติมในประเด็นที่ 3 หรือมากกว่านั้น ซึ่งเจาะจงไปเลยว่า
เป็นกลุ่มคราฟต์เบียร์ ซึ่งมีจำนวนการผลิตขั้นต่ำกว่าในจำนวนเท่าไร ต้องคุยกันแล้วเอาให้ชัดว่าต้องการแบบไหนอย่างไร เพราะขณะนี้ ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. . ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีและเชื่อมโยงกับกฎกระทรวงบริหารงานสุราเพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปหากยังไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม เป็นไปได้มากว่ากระทรวงจะยึดตามของเดิม” ผศ.ดร.เจริญ กล่าว การบ้านของกลุ่มคราฟต์เบียร์จากนี้จึงต้องทำข้อสรุปเพื่อเสนอความต้องการต่อกรมสรรพสามิต ทั้งตัวเลขเป็นไปได้ของกำลังการผลิตขั้นต่ำ การระบุปริมาณถังเก็บ ซึ่งเชื่อมโยงกับกฎหมายการควบคุมโรงงาน การเสียภาษี ส่วนเรื่องรสชาติและมาตรฐานของวัตถุดิบอาจมีการตั้งสมาคมเพื่อควบคุมกันเอง เช่นเดียวกับสมาคมไวน์ไทย
ธวัชชัย วิบูลย์จันทร์ นักวิชาการด้านเบียร์ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่าเขาสนับสนุนการแก้กฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อยเข้ามา แต่ก็ต้องอยู่ในหลักการ “เสรีในกติกา” และก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องควบคุมคุณภาพสถานที่ผลิตให้เป็นสากล มีมาตรฐาน อาจจะเป็นในระดับธุรกิจ SMEs ไม่ใช่ต้มกันหลังบ้าน ทำกัน หน้าส้วมอย่างที่ใครเข้าใจผิด
“ไม่ใช่ว่าเปิดเสรีแล้ว จะทำอะไรแบบไหนก็ได้ครับ แต่มันคือการเปิดโอกาสภายใต้ข้อบังคับที่สอดคล้องกับความจริงมากกว่า อย่าง โรงงานก็ต้องได้รับมาตรฐาน เช่น ต่างประเทศก็จะมีหน่วยงานที่ควบคุม Brewer ระดับเล็ก”
เขา มองว่า ประเด็นหลักที่สามารถแก้ไขได้เลย ในขั้นตอนแรกคือการระบุให้ผู้ประการแบบ Brewpub สามารถบรรจุขวดได้ จากนั้นค่อยไปว่ากันถึงจำนวนการผลิตซึ่งน่าจะลดลงในระดับที่น้อยกว่า100,000ลิตรต่อปี
“ถ้าต้องผลิตอย่างต่ำ 100,000 ลิตรต่อปี เทียบเป็นแก้วเป็นขวดเล็กประมาณ 300,000 แก้ว เพราะแก้วหนึ่งประมาณ 330 มิลลิลิตร และเดือนหนึ่งก็ต้องขายให้ได้ประมาณ 25,000 แก้ว ซึ่งเป็นปริมาณที่เยอะมากเสียจนแทบไม่สามารถมีรายเล็กรายไหนเกิดขึ้นมาได้ และมันจะเป็นปัญหาย้อนกลับไปหลักการที่เราไม่อยากส่งเสริมให้มีนักดื่มเยอะ ถ้าบีบให้ผู้ผลิตต้องผลิตมากๆ หมายถึงเขาต้องทำโปรโมชั่นล่อให้ผู้ซื้อ ซื้อในปริมาณมากขึ้น”
อย่าลืมว่า คราฟต์เบียร์สัญชาติไทยทุกเจ้าอยากจ่ายภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทุกคนอยากทำการค้าเสรีทำภายใต้เงื่อนไขข้อกฎหมายต่างๆ ที่ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภาครัฐจึงต้องผลักดันให้ผลิตได้อย่างถูกกฎหมายเพราะท้ายที่สุดเจ้าไหนที่ยังอยู่ กลไกธรรมชาติและการแข่งขันจะคัดเลือกเอง อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายหนึ่ง ซึ่งคลุกคลีกับวงการคราฟต์เบียร์มาตั้งแต่เริ่มต้น แสดงความวิตกว่า ในบรรดาผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ยังไม่มีเอกภาพพอ ทั้งไม่มีตัวแทนสมาคมที่จะเป็นหัวหอกนำเสนอข้อมูลต่อกรมสรรพสามิตได้ ขณะเดียวกันกลุ่มสมาชิกที่มีเงินทุนอย่างน้อย 8 แบรนด์ก็หันไปทำสัญญาร่วมผลิตหรือตั้งโรงงานผลิตเบียร์เองจากต่างประเทศ เช่นลาว กัมพูชา ออสเตรเลียขณะที่ผู้นำคราฟต์เบียร์ไทยอย่าง Chit Beer ก็กำลังทำโรงเบียร์มิตรสัมพันธ์ เกาะเกร็ด จ.นนทบุรี
“คนมีกำลังทรัพย์ มีที่ผลิตอยู่แล้วเขาคงไม่มาทุกข์ร้อนด้วย กลุ่มที่กำลังหาทางอยู่และหวังแก้กฎหมายคือกลุ่มที่ยังต้องการผลิตในประเทศ ความเห็นจึงยังกระจัดกระจายและไม่เป็นในทางเดียกัน” แหล่งข่าวรายนี้กล่าว
แต่ถึงเช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ณัทธร วงศ์ภูมิ แอดมินเพจ beercyclopedia สารานุกรมของคนชอบเบียร์ เสนอว่า ควรตั้งคณะกรรมการหรือให้กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นเจ้าภาพระดมความเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อหาความเหมาะสม ทั้งเรื่องการควบคุมคุณภาพสินค้า ขนาดโรงงาน รวมถึงการเสียภาษี แต่ถ้าเรื่องคราฟต์เบียร์ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรในตอนนี้ นั่นก็เป็นไปได้มากที่จะมีการลักลอบทำกันต่อไปทั้งยังมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนี่คือกระแสนิยมที่ผู้บริโภคมักหาความหลากหลาย ขณะเดียวกันอะไรที่หลบซ่อนก็ยิ่งตื่นเต้น อยากรู้ และยากต่อการควบคุมในที่สุด
มันจึงได้เวลาแล้วครับ! ที่จะออกมาแชร์ไอเดียกัน ให้คราฟต์เบียร์ถูกกฏหมายเข้าใกล้ความเป็นจริง
หมายเหตุ : ภาพจาก Beer cyclopedia สารานุกรมของคนชอบเบียร์
C-170207011106

แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]